ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิปี 2561 จำนวน 35,330 ล้านบาท

          อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 256ภาคอุตสาหกรรม คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ร้อยละ 4.ภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.9 ในปีก่อน โดยภาคการส่งออกชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 256ภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวของการค้าโลกและความเสี่ยงจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวดีกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งจากยอดขายรถยนต์ที่เร่งตัวขึ้น สำหรับการลงทุนภาคเอกชนยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีการขยายกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และปิโตรเคมี ซึ่งรองรับความต้องการภายในประเทศที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ในด้านของดิจิทัล กระแสของโลกยุคดิจิทัลทำให้เกิดโอกาสในการให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกและหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก่อให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการดังกล่าวมากขึ้น ในช่วงต้นปี 256ภาคอุตสาหกรรม ธนาคารพาณิชย์ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับปี 2562 คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะชะลอลง จากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายของภาครัฐรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ อีกทั้งยังมีโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย 
          จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าว ธนาคารยังคงสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างมั่นคง ในขณะที่ธนาคารยังคงแนวทางการบริหารฐานะการเงินด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องและเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตและความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
          สำหรับผลการดำเนินงานปี 256ภาคอุตสาหกรรม ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 35,33ธนาคารกรุงเทพ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.ธนาคารกรุงเทพ จากปี 256ธนาคารกรุงเทพ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน ภาคอุตสาหกรรม2ภาคอุตสาหกรรม,4ธนาคารกรุงเทพภาคอุตสาหกรรม ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ซึ่งมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.ภาคอุตสาหกรรม ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.4ธนาคารกรุงเทพ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.ภาคอุตสาหกรรม จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และกำไรสุทธิจากเงินลงทุน แม้ว่าจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อยยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมเติบโตดี ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 45.4
          ณ สิ้นเดือนธันวาคม 256ภาคอุตสาหกรรม ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,ธนาคารกรุงเทพ83,ภาคอุตสาหกรรม6ธนาคารกรุงเทพ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.ธนาคารกรุงเทพ จากสิ้นปี 256ธนาคารกรุงเทพ จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลงเป็นร้อยละ 3.4 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ร้อยละ ภาคอุตสาหกรรม9ธนาคารกรุงเทพ.9
          ด้านเงินกองทุน หากนับกำไรสุทธิงวดกรกฎาคมถึงธันวาคม 256ภาคอุตสาหกรรม รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ ภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ ภาคอุตสาหกรรม ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ ภาคอุตสาหกรรม8.7 ร้อยละ ภาคอุตสาหกรรม7.2 และร้อยละ ภาคอุตสาหกรรม7.2 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สำหรับส่วนของเจ้าของส่วนที่เป็นของธนาคาร ณ วันที่ 3ภาคอุตสาหกรรม ธันวาคม 256ภาคอุตสาหกรรม มีจำนวน 4ภาคอุตสาหกรรม2,8ภาคอุตสาหกรรม4 ล้านบาท มูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 2ภาคอุตสาหกรรม6.26 บาทต่อหุ้น