นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ""อัตรากำไรของกลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง ปรับตัวดีขึ้น จากการบริหารกองเรืออย่างมีประสิทธิภาพและความพยายามในการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์ตลาดขนส่งสินค้าแห้งเทกองก็ปรับตัวดีขึ้น นอกเหนือจากการใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงกองเรือให้ทันสมัยขึ้น ณ จุดต่ำสุดของวัฏจักรของอุตสาหกรรมเดินเรือ เพื่อใช้ประโยชน์จากการปรับตัวที่มีศักยภาพของอุตสาหกรรม และบรรลุข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญแล้ว กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้งได้ซื้อเรือมือสองจำนวน 2 ลำในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม ปี 2560 ซึ่งเป็นไปตามแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดอายุของกองเรือ หลังจากที่ได้ทำการซื้อเรือมือสองจำนวน 1 ลำ ในช่วงเวลาก่อนหน้าของปีนี้
เราเชื่อว่าธุรกิจขนส่งทางเรือ จะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพราะอุปสงค์ที่ยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอุปทานที่มีอย่างจำกัด
นอกจากนี้ เรากำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจต่างๆและยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาจุดแข็งของเราในธุรกิจหลัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ในส่วนของ ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ ยังคงมุ่งเน้นให้มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะต่ออายุสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายสำคัญในภูมิภาคที่กำลังเติบโต เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง""
ธุรกิจขนส่งทางเรือ : โทรีเซน ชิปปิ้ง กรุ๊ป (""TSG"")
กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง ได้มีกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยมีมีผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 213.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 627 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อัตราการใช้ประโยชน์ของเรือที่ กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 99 ทั้งนี้รายได้จากการขนส่งสินค้าในไตรมาสที่ 3/2560 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 896.3 ล้านบาทเป็นผลมากจากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราค่าระวางเรือ และมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 256.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 214 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาสที่ 3/2560 อัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยของกลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง อยู่ที่ 8,288 เหรียญสหรัฐต่อวัน โดยอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยสูงสุดในไตรมาสที่ 3/2560 อยู่ที่ 16,465 เหรียญสหรัฐต่อวัน การที่ค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากดัชนีบอลติค (BDI) ได้ปรับตัวอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 1,137 จุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 เนื่องจากความต้องการแร่เหล็กและถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับความต้องการถ?านหินที่ใช้?เป็?นเชื้อเพลิงให้?ความร้?อนในฤดูหนาวของจีน
ตามแผนปรับปรุงกองเรือเพื่อพัฒนากองเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองให้มีความทันสมัยและได้มาตรฐาน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง ได้ซื้อเรือ M.V. Thor Confidence (เอ็ม.วี. ทอร์ คอนฟิเดนซ์) และ M.V. Thor Courage (เอ็ม. วี. ทอร์ เคอริจ) เข้ามาเสริมกองเรือในเดือนกรกฏาคม และ ตุลาคม 2560 ตามลำดับ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2560 กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของเรือ จำนวน 22 ลำ โดยมีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 53,438 DWT และมีอายุเฉลี่ย 11.92 ปี
โดยสรุป ในไตรมาสที่ 3/2560 กลุ่มโทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 74.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 133 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง : บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) (""MML"")
ในไตรมาสที่ 3/2560 กลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ ได้มีงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่างานคงค้าง ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากไตรมาสก่อน เป็น 174 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนการส่งมอบส่วนใหญ่ในปี 2561กลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ รายงานผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 69.4 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 39.6 ล้านบาท รายได้รวมของ กลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ ในไตรมาสที่ 3/2560 อยู่ที่ 976 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือในธุรกิจเรือวิศวกรรมใต้ทะเลที่ลดลง
รายได้จากบริการเรือวิศวกรรมใต้ทะเลและบริการวิศวกรรมใต้ทะเลแบบไม่ใช้เรือ มีส่วนแบ่งเป็นร้อยละ 61 และร้อยละ 39 ของรายได้รวมในไตรมาสที่ 3/2560 ตามลำดับ อัตราการใช้ประโยชน์ของเรือในไตรมาสนี้เท่ากับร้อยละ 42สำหรับธุรกิจเรือขุดเจาะ Jack-up drilling rigs สเปคสูงสามลำของกลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ ดำเนินงานภายใต้บริษัทร่วมมีค่าเฉลี่ยการใช้ประโยชน์สูงถึงร้อยละ 100 ในไตรมาสที่ 3/2560
ส่วนกำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงร้อยละ 59 จากไตรมาสก่อน มาเป็น 177.8 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลที่ลดลง สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมมีความเสถียรภาพเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากกลุ่มเมอร์เมด มาริไทม์ ได้รับการต่อสัญญาไปอีก 3 ปี
ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร : บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (""PMTA"")
ในไตรมาสที่ 3/2560 PMTA รายงานกำไรขั้นต้นที่ 215.2 ล้านบาท ถึงแม้ว่าปริมาณการขายจะปรับลดลง แต่ PMTA สามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นไว้ได้ ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องมาจากการมุ่งเน้นพัฒนาตลาดในประเทศ ซึ่งมีอัตรากำไรที่มากกว่าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการบริหารจัดการวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ โดยสัดส่วนการขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 ในไตรมาสที่ 2/2560 มาเป็นร้อยละ 70 ในไตรมาสที่ 3/2560 PMTA รายงานผลกำไรสุทธิ จำนวน 56.9 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 39 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้จากการให้บริการให้เช่าพื้นที่โรงงานในไตรมาสที่ 3/2560 นั้นเป็น 15.4 ล้านบาท ซึ่งความสามารถในการให้เช่ายังคงเต็มพื้นที่อยู่ที่ 100 % PMTA อยู่ในระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างบาคองโค 5-B และบาคองโค 5-C ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่าจำนวน 20,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้เพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
การลงทุนอื่น
การลงทุนอื่น จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการจัดการการขนส่ง ซึ่งกลุ่มการลงทุนอื่นๆ นี้ยังคงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลกำไรสุทธิรวม
""โดยภาพรวม ตลาดธุรกิจขนส่งทางเรือมีแนวโน้มดีขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรและ ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ทางผู้บริหาร TTA จึงคาดว่า ธุรกิจในกลุ่มของ TTA จะเติบโตขึ้นต่อไปในอนาคต"" นายเฉลิมชัย กล่าวสรุป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit