อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานได้กล่าวถึงการดำเนินโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) (ครั้งที่ ๓) เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้เห็นชอบให้ผู้ประกอบการรายเดิม หรือผู้ค้าน้ำมัน หรือเอกชนรายอื่น เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี โดยให้หน่วยงานของรัฐให้การสนับสนุนโครงการ รวมถึงให้กรมธุรกิจพลังงานและผู้สนใจที่จะลงทุน ร่วมกันพิจารณารายละเอียดโครงการฯ เพื่อให้ระบบการขนส่งน้ำมันของประเทศมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบมติของ กพช. ดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินการในโครงการดังกล่าว มีความก้าวหน้า ดังนี้
สายภาคเหนือ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนในการต่อขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อของบริษัทฯไปยังภาคเหนือจากระบบท่อเดิมของบริษัทฯที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีคลังน้ำมันปลายทางที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดลำปาง ระยะทางรวม 585 กิโลเมตร ปัจจุบันบริษัทฯได้ดำเนินการสำรวจพร้อมออกแบบระบบขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการ ทำประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 แล้ว และจะจัดทำ
ประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2559 ด้านการก่อสร้างระบบท่อน้ำมันและคลังน้ำมัน บริษัทฯได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างคลังน้ำมันที่จังหวัดพิจิตร พื้นที่ 120 ไร่ และคลังน้ำมันที่จังหวัดลำปาง พื้นที่ 112 ไร่ ซึ่งคลังน้ำมันในจังหวัดพิจิตร บริษัทฯได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 23 สิงหาคม 2559
สายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัท ไทย ไปปน์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ภายใต้กลุ่มบริษัท เอส ซี กรุ๊ป (SC Group) ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนในการต่อขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยต่อขยายจากระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อเดิมของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) ที่คลังน้ำมันอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี และมีคลังน้ำมันปลายทางที่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เป็นระยะทาง 350 กิโลเมตร ใช้ท่อน้ำมันขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 นิ้ว โดยใช้เงินลงทุนระบบท่อ 5,450 ล้านบาท คลังน้ำมัน 3,250 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่น 1,300 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงการเจรจาเบื้องต้น กับบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากผู้ถือหุ้นของ THAPPLINE ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากผู้ถือหุ้นของ THAPPLINE ภายในเดือนสิงหาคม 2559ประโยชน์ของการมีระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อคือ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งน้ำมัน ของประเทศ สร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงาน เอื้อต่อนโยบายการเก็บสำรองน้ำมันสำเร็จรูปในคลังส่วนภูมิภาค ส่งผลให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เชื่อถือได้ (Reliable) ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐศาสตร์ต่อประเทศ รวมถึงยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลาง ด้านพลังงานของภูมิภาค รวมทั้งรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ด้วย