สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะสั้นได้แก่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 4สิงหาคม ซึ่งหาก BoE มีมติขยายวงเงินเป้าหมายโครงการ QE จากเดิมที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ มองจะเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องทั่วโลกได้ อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านพ้นการประชุม BoE รอบนี้ไป คาดว่าปัจจัยผลักดันทางด้านสภาพคล่องจะเริ่มลดลงเนื่องจากไม่น่าจะได้เห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางหลักอื่นๆอีก (Fed, ECB, BoJ) จนกระทั่งช่วงปลายเดือนกันยายนซึ่งจะมีการประชุม BoJ ครั้งถัดไป
ในส่วนปัจจัยอื่นที่สำคัญได้แก่การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันที่ 5 สิงหาคม ต่อด้วยรายงานการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมาในวันที่ 17 สิงหาคม และการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งคาดว่าทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รวมถึงกระแสเงินทุนต่างชาติในท้ายที่สุด
ประเมินการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% นั้นถือเป็นผลบวกในแง่ของฟันด์โฟลว์ เนื่องจากจะทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าดึงดูด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่มีการลดดอกเบี้ยในช่วงหลัง และน่าจะทำให้แนวโน้มฟันด์โฟลว์ในตลาดทุนไทยแข็งแกร่งกว่าต่อไป
ในระยะสั้นคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบดัชนี 1470 – 1550 จุด แนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดังกล่าว โดยอาจเลือกโฟกัสไปยังพอร์ทหุ้นแนะนำประจำไตรมาสที่ 3 ซึ่งล่าสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14% เทียบกับSET Index ที่ 7%นอกจากนั้นอาจเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคายังคง Laggard อาทิ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขนส่งฯ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีหุ้นแนะนำได้แก่ AP, ANAN, BA, SAT
สำหรับภาพการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงยืนยันมุมมองที่ว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมในไตรมาสที่ 3 น่าจะดีกว่าไตรมาสที่ 4 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายจะไปกองอยู่ในช่วงปลายปีทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาแข็งค่า และทำให้ Fund flowไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit