มาเซอร์ราติ ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ๊กซ์โป 2014

01 Dec 2014
มาเซอร์ราติ ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ๊กซ์โป 2014 แนวคิดการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ของมาเซอร์ราติ รถยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรูปแบบซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบันและการสะท้อนถึงแนวทางที่จะก้าวต่อไปในอนาคตของรถยนต์มาเซอร์ราติ

จุดหมายของงานแสดงสำหรับมาเซอร์ราติในประเทศไทยโดย บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาเซอร์ราติอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 (Thailand International Motor Expo 2014) ในงานนี้ทางมาเซอร์ราติได้นำรถรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันมาร่วมแสดง คือ Maserati Quattroporte (ควอตโตรปอร์เต้) รวมไปถึงรุ่นล่าสุดที่จะนำมาจำหน่ายในปีนี้ คือ Maserati Ghibli (กิบลี) ที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel (ดีเซล) โดยเป็นรถใหม่ในวาระเฉลิมฉลอง มาเซอร์ราติ ครบรอบ 100 ปีที่เมือง Modena (โมเดนา) ประเทศอิตาลี รวมไปถึงรถยนต์รุ่นพิเศษอีกหนึ่งรุ่น คือ Maserati GranTurismo MC Stradale รถสปอร์ต 4 ที่นั่ง ได้นำมาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยและจัดแสดงในงานนี้ด้วย

ในวาระครบรอบ 100 ปี ทางบริษัทมาเซอร์ราติ ได้วางแผนงานใหญ่ซึ่งได้เริ่มต้นในปี 2013 โดยรถยนต์รุ่น Ghibli และ Quattroporte มีการปรับแนวทางการผลิตของโรงงานในอิตาลีไปสู่ผลิตภัณฑ์รถสปอร์ตในระดับพรีเมียม แค่ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 ปี จากปี 2013 - 2014 มาเซอร์ราติ มียอดจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 150% จาก 6,200 คัน เป็น 15,400 คัน ปัจจุบันมาเซอร์ราติ คือผู้ผลิตรถยนต์ในระดับโลกที่มีผลิตภัณฑ์ในรุ่นต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การผลิตรถซีดานมีด้วยกันถึง 2 รุ่น และ สปอร์ต 2 ประตู 1 รุ่น โดยผลิตเครื่องยนต์ออกมาถึง 4 รุ่น Twin-Turbo 3.8 ลิตร V8 สูบและ 3.0 ลิตร V6 สูบ เครื่องยนต์ 4.7 ลิตร V8 สูบ และ 3.0 ลิตร V6 สูบ Turbo-Diesel นอกจากนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตรถ SUV (เอสยูวี) ที่จะออกมาให้ชมกันในเร็วๆ นี้

Maserati Quattroporte Diesel

Quattroporte รุ่นดั้งเดิมได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1963 ตามแนวความคิดของมาเซอร์ราติ ที่ต้องการสร้างสปอร์ตซีดานที่มีความหรูหรา และ Quattroporte รุ่นใหม่ก็ยังคงมีความต่อเนื่องในการเป็นผู้นำในด้านวิศวกรรมชั้นสูงถือได้ว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์ที่ทรงพลัง รวมไปถึงการเป็นรถลีมูซีนที่มีความสะดวกสบาย รวมอยู่ในรถคันเดียวกัน

มาเซอร์ราติเปิดตัว Quattroporte รุ่นใหม่ในปี 2013 รถสายพันธุ์ที่ 6 นี้จะมีความก้าวหน้าทั้งในเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูงและยังคงเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน รถธงรุ่นใหม่จะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นแต่มีน้ำหนักตัวเบาลง มีความหรูหราและใช้งานง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับรถคู่แข่งทั่วโลก เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ห้องโดยสารขนาดใหญ่ หน้ารถที่ยาว มีสัญลักษณ์ตรีศูลอยู่ที่ตรงกลางกระจังด้านหน้าที่มีส่วนคล้ายกันระหว่างรุ่น Quattroporte และ Granturismo

เครื่องยนต์ดีเซลตัวใหม่ของมาเซอร์ราติ มีขนาด 3.0 ลิตร V6 สูบ Turbo ได้รับการพัฒนามาเป็นพิเศษโดย VM Motori ตามแนวทางที่มาเซอร์ราติ เป็นผู้กำหนดซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องของ สมรรถนะ ประสิทธิภาพ และความพึงพอใจในการขับขี่

เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างพละกำลัง คือ เทอร์โบแบบแปรผัน พร้อมลูกปืนที่จะช่วยลดแรงเสียดทานภายในและลดอาการรอรอบการทำงานของเทอร์โบ หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสูงให้แรงดันถึง 2,000 บาร์ ฉีดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ ในขณะที่ท่อไอดีจะปรับค่าแปรผันตามความเร็วของเครื่องยนต์ ส่วนท่อไอเสียจะเป็นแบบ Air Gap Technology ที่จะรักษาอุณหภูมิความร้อนของไอเสีย เพื่อให้สามารถผลิตพละกำลังออกมาให้มากที่สุด

ส่วนประกอบต่างๆ มีส่วนทำให้มาเซอร์ราติ รุ่นใหม่ล่าสุดเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ในรุ่น Quattroporte Diesel จะให้แรงบิดสูงถึง 600 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-2,600 รอบ/นาที กำลังสูงสุด 275 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ค่าปริมาณไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ 163 กรัม/กม. ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 6.2 ลิตร/100กม. หรือ 16.1 กม./ลิตร แต่ Maserati Quattroporte ยังคงเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง

บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติ อีกอย่างหนึ่ง คือ เสียงจากท่อไอเสียที่ไพเราะและดุดัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการผลิตรถของมาเซอร์ราติ จากการใช้ Maserati Active Sound Technology ของระบบไอเสียของ Maserati Quattroporte Diesel ทำให้เกิดเสียงที่ให้ความสปอร์ต อย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถปรับระดับด้วยการกดปุ่ม จะมีเสียง 2 ระดับ มีกลไกติดตั้งอยู่ใกล้กับปลายท่อไอเสียเพื่อให้เกิดโทนเสียงที่มีความพิเศษ ปรับคลื่นเสียงตามความเร็วรถที่ใช้อยู่ ขณะที่ผู้ขับขี่กดปุ่มสปอร์ตที่คอนโซลกลาง จะเกิดเสียงที่มีการสั่นสะเทือนที่สูงและเพิ่มความเร้าใจต่อการขับขี่ Quattroporte Dieselเครื่องยนต์ : 3.0 ลิตร V6 สูบ กำลังสูงสุด : 275 แรงม้า ระบบเกียร์ : ZF 8 จังหวะ อัตโนมัติ แรงบิดสูงสุด : 600 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด : 250 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 6.4 วินาที อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง 6.2 / 5.2 / 7.8 ลิตร/100 กม. ปริมาณไอเสีย โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง 163 / 137 / 206 กรัม/กม.

Maserati Ghibli Diesel

Ghibli รุ่นใหม่ล่าสุด ทางมาเซอร์ราติ ออกแบบมาเพื่อให้เข้าอยู่ใน E-segment เป็นการผสมผสานระหว่างงานออกแบบเข้ากับคุณภาพในการขับขี่และสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เป็นรถที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นรถสปอร์ตซีดานหรูที่น่าเย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง

Ghibli ถูกวางแผนว่าในปี 2015 ให้มีการผลิตเป็นจำนวน 50,000 คันต่อปี และจะเป็นรถธงรุ่นที่ 2 ของค่ายมาเซอร์ราติ ในขณะที่ Quattroporte จะสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของคุณภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผลงานด้านศิลปะ โดยจะทำการผลิตที่ Grugliasco ใกล้กับเมือง Turin

Ghibli Diesel เป็นรถรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของมาเซอร์ราติที่ใช้เครื่องยนต์แบบดีเซล เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร V6 สูบ ได้รับการพัฒนามาสำหรับมาเซอร์ราติโดยฝีมือของ VM Motori เฉพาะภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดโดย Paolo Martinelli ซึ่งดำรงตำแหน่ง Powertrain Director ในอดีตเขาเคยเป็นผู้ออกแบบเครื่องยนต์สำหรับรถแข่งฟอร์มูล่า วัน มาเป็นเวลายาวนาน

เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ถือว่าแรงที่สุดในคลาส ให้กำลังสูงถึง 275 แรงม้า ในขณะที่มีปริมาณ ไอเสียเพียงแค่ 158 กรัม/กม. เท่านั้น อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่า 6.0 ลิตร/100 กม. ถังน้ำมันที่มีความจุขนาด 70 ลิตร เพียงพอต่อการเดินทางไกลเป็นระยะทางกว่า 1,000 กม. มีผลทำให้ Ghibli Diesel ได้ครองตำแหน่งแชมป์ในบรรดารถประเภท แกรนด์ ทัวริงค์ ที่ใช้น้ำมัน 1 ถังจะวิ่งได้เป็นระยะทางไกลที่สุด Ghibli Diesel ให้แรงบิดสูงสุดถึง 600 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-2,600 รอบ/นาที (จากการโอเวอร์บูสต์ของเทอร์โบชาร์จ) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

เครื่องยนต์ออกแบบมาได้อย่างสวยงามราวกับงานศิลปะรวมไปถึง ระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล ไดเรค อินเจคชัน ซึ่งในระบบจะมีแรงดันถึง 2,000 บาร์ หัวฉีดแบบมัลทิเพิลจะช่วยลดอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและระดับเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ลง ในขณะเดียวกันจะช่วยให้มีการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และจากการใช้เทคโนโลยีเทอร์โบแบบแปรผัน จะทำให้เครื่องยนต์มีพละกำลังและแรงบิดที่สูงในรอบต่ำ ระบบ Start-Stop จะช่วยลดอัตราความสิ้นเปลืองและปริมาณไอเสียลงถึง 6% (ระบบนี้จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติในขณะใช้โหมดสปอร์ต และเมื่อ ESC OFF ผู้ขับสามารถสั่งให้ระบบนี้หยุดทำงานโดยกดปุ่มเมนูที่ด้านขวาของวงพวงมาลัย)Ghibli Diesel ยังคงมีเสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของ Maserati จากการใช้ Maserati Active Sound technology มีตัวควบคุมเสียง 2 ตัวติดตั้งอยู่ที่บริเวณปลายหม้อพักท่อไอเสีย เพื่อให้เกิดโทนเสียงที่มีความพิเศษ ปรับคลื่นเสียงตามความเร็วรถที่ใช้อยู่ ผู้ขับสามารถปรับโทนเสียงได้ตามต้องการที่จะเกิดเสียงที่มีการสั่นสะเทือนสูงที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้ขับสามารถเลือกให้มีความสปอร์ตและสุ้มเสียงที่ดุดันมากขึ้นเพียงแค่กดปุ่มปรับโทนเสียงเท่านั้นเอง Ghibli Dieselเครื่องยนต์ : 3.0 ลิตร V6 สูบ 60 องศากำลังสูงสุด : 275 แรงม้า ระบบเกียร์ : ZF 8 จังหวะ อัตโนมัติ แรงบิดสูงสุด : 600 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด : 250 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 6.3 วินาที อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง 5.9 / 4.9 / 7.8 ลิตร/100 กม. ปริมาณไอเสีย โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง 158 / 129 / 206 กรัม/กม.

Maserati Granturismo MC Stradale

มาเซอร์ราติได้ปรับแต่งทั้งทางด้านความงดงามและพละกำลังของ Granturismo MC Stradale ไปสู่เครื่องจักรกลที่มีความเร็วสูง แต่สามารถควบคุมบังคับได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยผสมผสานเข้ากับรูปทรงที่มีความงดงามการเปิดตัวครั้งแรกมีขึ้นในปี 2010 Granturismo MC Stradale รถสปอร์ต 2 ที่นั่งซึ่งได้รับการพัฒนาแนวความคิดมาจากรถแข่ง Trofeo จนกลายมาเป็น Granturismo คูเป้ และในปีนี้มาเซอร์ราติ ได้มีความคิดที่จะปรับให้รถรุ่นนี้ซึ่งเป็นสปอร์ต 2 ที่นั่ง น้ำหนักเบา ให้กลายมาเป็น รถสปอร์ต 4 ที่นั่ง ในนามของ Granturismo MC Stradale 2013

ฝากระโปรงหน้าใหม่ทำจากวัสดุคาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยสร้างแรงกดในขณะใช้ความเร็วสูงและยังช่วยในเรื่องการระบายความร้อนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ Granturismo MC Stradale 4 ที่นั่ง มีน้ำหนักตัวที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชัน 2 ที่นั่งด้วย (1,700 กก.) ซึ่งหมายความว่า Granturismo MC Stradale จะยังคงเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดและเร็วที่สุดในคลาสนี้ แม้ว่าจะให้ความสะดวกสบายสำหรับผู้ใหญ่ถึง 4 ที่นั่ง แทนที่รถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งเคยผลิตออกมา การพัฒนาของ Granturismo MC Stradale ได้พิสูจน์แล้วว่า ทางมาเซอร์ราติไม่เคยละเลยในการให้ความสำคัญกับรถประเภท 2 ประตู คูเป้ แม้ว่าในระดับโลกจะหันไปมองเป้าหมายไว้ที่ Quattroporte รุ่นใหม่ล่าสุด

Granturismo MC Stradale ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังสูงสุดจากค่ายมาเซอร์ราติ แบบ V8 สูบ 4.7 ลิตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 303 กม./ชม. Granturismo MC Stradale เป็นรถที่มีกำลังสูงสุดถึง 460 แรงม้า (338 กิโลวัตต์) ในเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ 4.7 ลิตร V8 สูบ จะทำงานร่วมกับเกียร์ที่มีน้ำหนักเบาและเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว แบบ 6 สปีด ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ที่เรียกว่า “MC Race Shift” พื้นฐานจากรุ่น Granturismo Sport

ในเวอร์ชันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาอย่างคลาสสิค ขนาด 4.7 ลิตร V8 สูบ ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้รับการเคลือบมาเป็นอย่างดีเพื่อลดแรงเสียดทานซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มพละกำลังและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง การวางตำแหน่งระบบเกียร์นอกจากจะมีผลให้ Granturismo MC Stradale มีการกระจายน้ำหนัก หน้า : หลัง ที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 48:52 แล้ว ยังมีผลทำให้ต่อการเปลี่ยนตำแหน่งไปสู่เกียร์ที่สูงขึ้นในเวลาเพียง 60/1000 วินาที เทียบได้ว่าเร็วกว่าการกระพริบตา 1 ครั้งถึง 5 เท่าตัว

ภายในห้องเกียร์จะติดตั้งเฟืองท้ายแบบ ลิมิเต็ด-สลิพ มาให้อย่างสมดุลด้วย ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดถ่ายทอดกำลังตามการใช้งานในขณะนั้น แบ่งออกเป็น Automatic, Sport และ Race modes ในแต่ละระดับจะมีการตอบสนองอัตราเร่งที่แตกต่างกัน รวมไปถึงเสียงจากท่อไอเสียและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากสนามแข่งรถ การทำงานของเกียร์จะอนุญาตให้ลดตำแหน่งเกียร์ลงต่ำได้ทีละตำแหน่งโดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมไม่ให้เกียร์ลดตำแหน่งลงได้โดยใช้นิ้วดึงไว้ที่แป้น แพดเดิล ชิฟท์ ขณะเบรก และระบบจะยอมเปลี่ยนให้เกียร์ลงในสู่ตำแหน่งที่ต่ำลงไปได้ตามปกติก็ต่อเมื่อแป้นแพดเดิลถูกปลดปล่อยออก

จากการที่ Granturismo MC Stradale เป็นรถที่มีสมรรถนะสูง ระบบเบรกจึงต้องมีพละกำลังตามไปด้วย ทางผู้ผลิตได้เลือกใช้จานเบรกแบบเซรามิคทั้ง 4 ล้อ ลูกสูบเบรกตัวหลักจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 27 มม. ให้พละกำลังในการหยุดรถที่สูง มีระยะการทำงานที่สั้นกว่ารถธรรมดาทั่วไป จานเบรกด้านหน้ามีขนาด 380 x 34 มม. แคลิเปอร์เบรกมี 6 สูบ ในขณะที่จานเบรกด้านหลังมีขนาด 360 x 32 มม. แคลิเปอร์เบรกมี 4 สูบ วงล้อฟอร์จน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางที่ได้รับการพัฒนามาจาก Pirelli รุ่น PZero Corsa ยางหน้าขนาด 255/35 ZR20 ด้านหลังขนาด 295/35 ZR 20 ให้การยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้งได้อย่างยอดเยี่ยม ระบบรองรับและแชสซีส์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพบนแทรค โดยที่มิได้ละเลยการนำรถมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย แชสซีส์ได้รับการพัฒนาให้รถรุ่นนี้ขับง่าย รวมไปถึงความสะดวกสบายเท่าที่สามารถจะทำได้ ตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากการที่ฐานล้อยาวจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ได้เป็นอย่างดีฐานล้อขนาด 2,938 มม. มีส่วนสำคัญอย่างมาก แต่ประสิทธิภาพในการควบคุมบังคับรถในสภาพต่างๆ สามารถเปลี่ยนความรู้สึกในการขับขี่จากความดุดัน ก้าวร้าว ของรถสำหรับวิ่งในสนามแข่งมาสู่รถถนนใช้งานประจำวัน หรือ การขับด้วยความเร็วสูงบนออโทบาร์น รถจะสามารถรองรับอารมณ์ที่หลากหลายของนักขับได้เป็นอย่างดี จากการปรับสภาพรถแข่งให้สามารถนำมาใช้งานบนท้องถนนอย่างถูกกฎหมาย ความสูงของตัวรถด้านหน้าถูกปรับให้ลดต่ำลง 10 มม. ที่ด้านหน้า และ 12 มม. ที่ด้านหลัง เมื่อเทียบกับมาตรฐานของรุ่น Granturismo sport เพื่อให้การควบคุมบังคับทำได้อย่างดีเยี่ยมในบุคลิกของ super-sports car ที่สามารถรองรับการใช้งานในระดับสูงสุด ตัวรถได้รับการพัฒนาให้มีความสะดวกสบาย, ล้ำสมัย, สมดุล และให้ความสุนทรีภาพแก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน

ในขณะที่ Race modes ได้ถูกออกแบบมาในการทำความเร็วต่อรอบได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยในระดับสูงอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รถรุ่นนี้มีผลดีในด้านอากาศพลศาสตร์ คือ การเลือกใช้ฝากระโปรงหน้าทำจากวัสดุ คาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งได้รับบทเรียนมาจากรถแข่ง Trofeo และ GT4 ฝากระโปรงมีส่วนช่วย 2 ประการ คือ ช่วยลดน้ำหนักด้านหน้าลงและทำให้มีแรงกดที่ด้านหน้ารถเพิ่มขึ้นถึง 25% ในขณะรถวิ่งด้วยความเร็ว 140 กม./ชม. การพัฒนาที่อาศัยประสบการณ์จากข้อมูลที่ได้รับจากสนามแข่งและการทดสอบด้วยคอมพิวเตอร์ในเรื่องของการค้นคว้าด้านอากาศพลศาสตร์ ฝากระโปรงหน้าแบบใหม่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในขณะใช้ความเร็วสูง โดยไม่เพิ่มการต้านลมที่จะมีแรงดันเกิดขึ้นบริเวณใต้ฝากระโปรง

นอกจากฝากระโปรงหน้าทำจาก คาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งจะมีผลดีด้านอากาศพลศาสตร์แล้ว สปอยเลอร์ใต้กันชนด้านหน้า รวมไปถึงแผ่นสเกิร์ตด้านข้างตัวรถ กันชนด้านท้ายรถ และสปอยเลอร์หลังที่ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงท้าย ล้วนแต่มีผลต่อความมั่นคงของตัวรถขณะใช้ความเร็วสูงทั้งสิ้น การออกแบบในส่วนต่างๆ ของตัวรถเพื่อเพิ่มแรงกด และเป็นการนำอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรก และพยายามทำให้กระแสลมที่หมุนเวียนอยู่บริเวณใต้ท้องรถให้มีปริมาณน้อยที่สุด

กระจังหน้าสีดำตัดกับเครื่องหมายตรีศูลสีแดง เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของ Maserati ในสายพันธุ์ MC แต่ภายในตัวรถ Maserati Granturismo MC Stradale กลับมีการพัฒนาอย่างมากมาย เช่น เบาะนั่งน้ำหนักเบาทั้ง 4 ตัว ถูกทดแทนด้วยเบาะ 2 ตัว ในเวอร์ชัน 2 ที่นั่ง ของรถในปี 2010 เบาะคู่หน้าทำจาก คาร์บอน-ไฟเบอร์ น้ำหนักเบา แต่ยังคงความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติด้วยการนำมาบุด้วยหนังแท้สลับกับ Alcantara พนักพิงศีรษะของเบาะนั่ง 4 ตำแหน่งออกแบบมาเพื่อรองรับการกระแทกของศีรษะได้อย่างปลอดภัยในยามเกิดอุบัติเหตุตามปกติของการตกแต่ง เบาะนั่งจะถูกคาดด้วยสีเทาเข้ม แต่เบาะนั่งสามารถเปลี่ยนวัสดุมาเป็น Alcantara ที่เดินเส้นตามขอบด้วยด้ายสีแดงคู่เพื่อให้เข้ากับสีแดงที่สัญลักษณ์ตรีศูลที่กระจังด้านหน้า

Maserati Granturismo MC Stradale มีพวงมาลัยที่เป็นอุปกรณ์พิเศษให้เลือกติดตั้งเพิ่มถึง 3 รูปแบบ ทุกแบบจะมีปุ่มควบคุมแบบ มัลติฟังก์ชัน และด้านใต้วงพวงมาลัยจะมีลักษณะเรียบตรงไม่โค้งไปตามแนวของวงพวงมาลัย คุณสามารถเลือกวัสดุหุ้มพวงมาลัยว่าจะเป็นหนังแท้ทั้งหมดหรือเป็นหนังแท้สลับกับ Alcantara หรือจะเป็นหนังแท้สลับคาร์บอน-ไฟเบอร์ ก็ย่อมทำได้ตามที่คุณปรารถนา เพื่อเพิ่มบุคลิกที่ดุดันมากขึ้นในการตกแต่งภายในรถ ใน Maserati Granturismo MC Stradale จะมีแป้นแพดเดิล ชิฟท์ สำหรับเปลี่ยนเกียร์ ทำจากวัสดุอัลลอยซึ่งมีความยาวมากกว่า Granturismo รุ่นอื่นๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนเกียร์ในสถานการณ์ต่างๆ

Maserati Centenry

ในปี 2014 มาเซอร์ราติเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี นับตั้งแต่ Alfieri, Ettore และ Ernesto Maserati ได้ทำการเปิด workshop เป็นครั้งแรกที่เมือง Bologna ในวันที่ 1 ธันวาคม 1914 มาเซอร์ราติได้จัดงานเฉลิมฉลอง 100 ปี ด้วยความยิ่งใหญ่ทั่วทั้งโลก งานฉลองเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2013 ซึ่งเป็นวันที่บริษัทฯ เริ่มต้นเข้าสู่วาระ 100 ปี และจะทำการฉลองไปอีกเป็นเวลา 12 เดือนเต็มจนถึงเดือน ธันวาคม 2014 การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกจัดขึ้นที่เมือง Modena ซึ่งเป็นเมืองที่ทางมาเซอร์ราติ ได้ย้ายมาทำการอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1933 และในปัจจุบันสำนักงานใหญ่ของ มาเซอร์ราติตั้งอยู่ที่เมืองนี้ จากเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม Museo Casa Enzo Ferrari จะเป็นเจ้าภาพในการจัดนิทรรศการในวาระครบรอบ 100 ปี ของมาเซอร์ราติในเดือนกันยายน มาเซอร์ราติ ทั่วโลกมีการรวมตัวกันที่เมือง Modena อย่างเป็นทางการ โดยมีมาเซอร์ราติรุ่นเก่าจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันกว่า 300 คัน

บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาเซอร์ราติอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำนักงานใหญ่ โทร. 0-2900-5353 และสาขาสยามพารากอน โทร. 0-2610-9441

ฝ่ายการตลาด: โทรศัพท์ 0-2900-5353 ต่อ 41 หรือ 080-077-7881

อี​เมล์ [email protected]

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit