พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุจำนวน ๘,๙๗๐,๗๔๐ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๘๕ ของประชากรทั้งหมด และคาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. ๒๕๗๐ จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นถึง ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๕ ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้านตามมา อาทิ ภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนภาระด้านงบประมาณและการคลังของรัฐที่ต้องมีรายจ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง ขาดผู้ดูแล ที่อาจนำไปสู่ภาวะเสี่ยงในด้านสวัสดิภาพ ความมั่นคงในการดำรงชีวิต สุขภาพ รายได้ รวมถึงผลกระทบต่อภาวะจิตใจของผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้กำหนดนโยบายเพื่อขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน และวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาว และตอบสนองต่อความนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะนโยบายด้านสังคมเรื่อง “การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ”เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การคุ้มครอง ส่งเสริม สนับสนุนผู้สูงอายุในการเข้าถึงสิทธิในด้านตามที่พระราชบัญญัติผู้สูงอายุพ.ศ. ๒๕๔๖กำหนด ได้แก่ การพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ การศึกษา เป็นต้น
พลตำรวจเอกอดุลย์ กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ปัญหาและความสำคัญดังกล่าวกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์ เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ (สท.) จึงได้ดำเนินโครงการศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ จำนวน ๘๗๘ แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้สูงอายุและชุมชนได้มีศูนย์รวมในการจัดกิจกรรมและบริการแบบครบวงจรตอบสนองปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุได้ครอบคลุมทุกมิติและเป็นศูนย์รวมของการบูรณาการงานในระดับพื้นที่ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม และภาคท้องถิ่น ชุมชนหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชน อาสาสมัคร แกนนำ เครือข่ายต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ ได้สนับสนุนให้อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) จำนวนกว่า ๘๐,๐๐๐ คน เป็นกลไกในระดับชุมชนในการดูแลช่วยเหลือคุ้มครองผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง โดยระบบการดูแลผู้สูงอายุ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือเชิงบูรณาการจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยลดภาระของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุในรูปแบบสถานสงเคราะห์
“ทั้งนี้ ความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุในวันนี้ จึงถือเป็นหนึ่งใน ๒๐ ของขวัญปีใหม่ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มอบให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งของขวัญชิ้นนี้เป็นกิจกรรม “ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ ๘๗๘ แห่ง” ภายใต้โครงการ “๒๐ ของขวัญ พม.มอบสู่ประชาชน” เพื่อทำให้ผู้สูงอายุมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มั่นคงและมีความสุข สำหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมศูนย์ฯครั้งนี้ ได้รับทราบข้อมูลศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุเทศบาลตำบลโพตลาดแก้ว ซึ่งมีพัฒนาการทำงานที่ก้าวหน้าสามารถขับเคลื่อนการจัดกิจกรรมและบริการได้อย่างครอบคลุม เพื่อการดูแลผู้สูงอายุทั้งภายในและภายนอกศูนย์ ทั้งผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงและผู้สูงอายุทั่วไป ทำให้ผู้สูงอายุของชุมชนท่าวุ้ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนขอชื่นชมการทำงานของผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ชมรมผู้สูงอายุ และเครือข่าย ทุกท่านที่ทำให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุจากนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง” พลตำรวจเอกอดุลย์ กล่าวตอนท้าย.
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit