กรุงเทพฯ--22 ส.ค.--อะเบาท์ พีอาร์
บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก ร่วมกับ สมาคมการพิมพ์ไทย และ สมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย ผนึกกำลังจัดงาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2011 สุดยอดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านการบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน นำเสนอเครื่องจักรไฮเทคและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พบสินค้าแบรนด์นานาชาติ พร้อมการสาธิตนวัตกรรมการพิมพ์ใหม่ๆ ฟรีกับบริการจับคู่ธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกลยุทธ์ทางการค้า ตลอดจนการสัมมนาด้านสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2554 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและนิทรรศการไบเทค บางนา โดยคาดหวังให้ผู้ประกอบการด้านการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ของไทยและภูมิภาคได้เปิดตลาดสู่สายตาชาวโลก ซึ่งที่ผ่านมาตลาดทางด้านนี้มีมูลค่ารวมกว่าหนึ่งพันห้าพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยมีเป้าส่งออกสูงขึ้นเรื่อยๆ
ภายในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจากแขกรับเชิญจากแวดวงการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จำกัด ในฐานะผู้จัดงาน ร่วมด้วย เจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, พรชัย รัตนชัยกานนท์ นายกสมาคมการพิมพ์ไทย, เกษม แย้มวาทีทอง นายกสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย และ กนกพร ดำรงกุล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายงานแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2011 โดยมี ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน ดำเนินรายการ
มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก กล่าวว่า งาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2011 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2554 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและนิทรรศการไบเทค บางนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเทคโนโลยีล่าสุดและการดำเนินงานชั้นเยี่ยมที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ และเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และเพิ่มพูนความสามารถในด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ของไทย นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ ที่จะได้พบกับศักยภาพทางด้านเครื่องมือและอุปกรณ์การพิมพ์ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ
โดยในปี 2554 นี้ มีผู้ประกอบการมากกว่า 450 บริษัท จาก 30 ประเทศทั่วโลก พร้อมผู้เข้าร่วมชมงานจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเชียน ซึ่งต่างเล็งเห็นการเติบโตและแนวโน้มทางการตลาดด้านการพิมพ์ในภูมิภาคอาเชียน โดยเฉพาะศักยภาพของประเทศไทยที่อุตสหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ไทยเติบโตขึ้นอย่างสวนกระแส โดยงานนี้จะทำให้อุตสาหกรรมการพิมพ์ของไทยให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพงานพิมพ์ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
โดยภาพรวมจากการคาดการณ์ของ Economist Intelligence Unit ของการค้าปลีกในประเทศไทยได้รับการประเมินว่าจะเติบโตประมาณ 7.5% ถึง 9.6% ต่อปี ในอีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งการเติบโตนี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลักดันความต้องการบรรจุภัณฑ์และบริการการพิมพ์ ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ของไทยเป็นที่จับตามองอย่างมากในกลุ่มประเทศอาเซียน และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการพิมพ์ที่มีการเติบโตสูง โดยมีบริษัทผู้พิมพ์มากถึง 1,020 บริษัท และ เครื่องพิมพ์ 4,700 เครื่อง เพราะมีการพัฒนาด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศผู้นำตลาดอย่างสิงคโปร์ ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามมาด้วยประเทศ ญี่ปุ่น ส่วนตลาดสิ่งพิมพ์โดยรวมในเอเชียมีการเจริญเติบโตค่อนข้างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของตลาดจีนและอินเดีย นอกจากนี้ยังมีตลาดส่งออกอื่นๆ ที่มีอัตราการขยายตัวสูงได้แก่ อิหร่าน, สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, พม่า และลาว
“การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นงานสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย ซึ่งมีความสนใจในการลงทุนทางเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น ระบบโฟโต้บุ้ค คือหนังสือภาพ ที่รวมภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล การเตรียมการพิมพ์ ดิจิตอล เทคนิคการพิมพ์แบบเลทเตอร์เพลท เป็นต้น ผู้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการพิมพ์ระดับโลกจะได้รับประโยชน์ในการเข้าร่วมงานแสเงสินค้า PACK PRINT INTERNATIONAL 2011” มร.ริงลิ่ง กล่าว
ด้าน พรชัย รัตนชัยกานนท์ นายกสมาคมการพิมพ์ไทย ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางสมาคมการพิมพ์ไทยมีการประเมินว่าการส่งออกของอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การส่งออกไตรมาสแรกในปี 2553 สูงถึง 554 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดการส่งออกส่วนใหญ่ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เดนมาร์ก ฮ่องกง และไต้หวัน ตั้งเป้าหมายส่งออกสิ่งพิมพ์ไว้ที่ 30,000 ล้านบาทในปี 2553 เราสามารถผลักดันให้ยอดการส่งออกเกินเป้าเป็น 50,000 ล้านได้ และเป้าหมายการส่งออกสิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ในปี 2554 มีมูลค่า 4,120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราขยายตัว ร้อยละ 20 คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 1.8 ของเป้าหมายการส่งออกรวมทั้งประเทศ สมาคมการพิมพ์ไทยจึงคาดว่ายอดการส่งออกภายในปี 2558 จะมีมูลค่าถึง 100,000 ล้านบาท”
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เกษม แย้มวาทีทอง นายกสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทยกล่าวว่า จากปัญหาสภาวะโลกร้อนและปัญหาการกำจัดขยะในปัจจุบันทำให้คนหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่ทำด้วยพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพกันมากขึ้น และจากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคเองก็มีความสนใจและตระหนักถึงปัญหานี้เช่นเดียวกัน ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถนำมาบรรจุสินค้าใหม่และผลิตภัณฑ์ชนิดถุงรีฟิล (แบบซองตั้ง) เพิ่มมากขึ้น บรรจุภัณฑ์นี้เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับที่ลูกค้าที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถซื้อสินค้าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมที่มีราคาสูงได้
ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารกึ่งสำเร็จรูปของประเทศไทยมีการเติบโตที่สูงในปีที่ผ่านๆมา และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตอาหาร และเป็นผู้ส่งออกอาหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 14 ของโลก ผู้ผลิตอาหารภายในประเทศได้เข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และบริษัทเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้น ตลาดที่พัฒนาแล้วต้องการบรรจุภัณฑ์ที่มีความก้าวหน้าทันสมัย และผู้ขายเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ในปีต่อๆไป
จากตัวเลขการเติบโตของการค้าปลีกต่างๆ ทำให้อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ได้รับความสนใจและพัฒนาก้าวไกล จึงขอเชิญผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมด้านบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ให้มาเข้าชมงานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้, ความคิดเห็นและความรู้ทางเทคนิค รวมทั้งมาอัพเดทข่าวสารและเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์และวัสดุที่ล้ำสมัย แนวโน้มอุตสาหกรรม และการพัฒนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกสัมมนาวิชาการ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ไทยภายในงาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2011 ซึ่งจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2554 ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค (BITEC), บางนา
งาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2009 จบลงด้วยผลที่น่าพอใจและประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายเมื่อเทียบกับนิทรรศการล่วงหน้าทั้งหมด โดยมีผู้ค้ากว่า 13,000 รายจาก 40 ประเทศทั่วโลกได้เข้าร่วมชมนิทรรศการที่จัดขึ้นตลอด 4 วัน ประกอบด้วยผู้เข้าชมจากประเทศ อินเดีย, ฟิลิปินส์, มาเลเซีย, เวียดนาม และประเทศไทย ผู้เข้าชมนิทรรศการส่วนใหญ่ได้ตอบในแบบสอบถามว่ามีความพอใจกับการเข้าชมนิทรรศการมาก โดยปี 2554 นี้ เราคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 20,000 คนจากทุกประเทศทั่วโลก
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท อะเบาท์ พีอาร์ จำกัด
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit