ธุรกิจค้าปลีกปี 54 รุ่ง ปัจจัยบวกเอื้อ ผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์ เจาะตลาดระดับกลาง-ล่างรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค

21 Jan 2011

กรุงเทพฯ--21 ม.ค.--ดัน ดู ดี

จากการออกมาเปิดเผยข้อมมูลของสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย ในงาน”แถลงข่าวทิศทางค้าปลีกปี 2554” ที่ผ่านมาก็พอจะทำให้นักธุรกิจในหลากหลายเซกเมนต์เริ่มอุ่นใจกับท่าทีของภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ที่ดูเหมือนว่าจะดีดกลับมาในทางบวกมากขึ้นในปีนี้ โดยส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่เกื้อหนุน อาทิ ราคาพืชผลทางการเกษตรที่มีการปรับราคาสูงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของประชากรภาคการเกษตรสูงขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนข้าราชการ ทำให้พนักงานทั้งภาครัฐและเอกชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการเพิ่มอำนาจการซื้อเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ปัจจัยทางการเมืองเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และการเลือกตั้งใหม่ในปีนี้จะทำให้เกิดรายได้สะพัด รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกในปีนี้มีความคึกคักมากขึ้น

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย ในฐานะนายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย หรือ สพท. ก็ออกมาตอกย้ำว่าธุรกิจค้าปลีกในปีนี้ หากจะพิจารณาโดยรอบแล้วเชื่อมั่นว่าน่าจะเป็นปีทองของกลุ่มในรูปแบบของพลาซ่าในชุมชน ที่เจาะกลุ่มชุมชนมากขึ้น รวมถึงมินิมาร์ท หรือ มินิ ซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้นเช่นกัน ส่วนรูปแบบที่ต้องใช้พื้นที่ใหญ่ๆ จะลดลง เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป นิยมที่จะจับจ่ายใกล้บ้านมากขึ้น รวมไปทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตต่อเนื่องและต้องการสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดการขยายตัวมากขึ้น

ซึ่งหากจะพิจารณาจากตัวเลขอัตราการเติบโตของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่า ปี 2553 จำนวนสมาชิกในครัวเรือนประมาณ 3 คนต่อครัวเรือน เป็น Single Family มีตัวเลขเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครอบครัวมีขนาดที่เล็กลง ซึ่งมีผลต่อไลฟ์สไตล์ที่ปรับเปลี่ยน และส่งผลในทางบวกกับกลุ่มธุรกิจอาหารที่จะเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Ready to eat และ Ready to cook สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค

อย่างไรก็ตามมูลค่าตลาดรวมค้าปลีกในปี 2553 ที่ผ่านมามีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนเป็นค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ โมเดิร์นเทรด (Modern Trade ) 40% และค้าปลีกดั้งเดิม หรือ เทรดดิชั่นนอลเทรด (Traditional Trade) 60 % ซึ่งคาดว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้สัดส่วนการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในปี 2554 ขยับไปที่โมเดิร์น เทรด 45% เทรดดิชั่นนอลเทรด 55 %

นอกจากนี้ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ก็ออกมาเปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่าอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2554 จะมีการขยายตัวประมาณ 4-5% โดยมีปัจจัยมาจากการบริโภคภายในประเทศซึ่งมาจากภาคการเกษตรที่พืชผลมีราคาสูงขึ้น รวมไปถึงในช่วงที่ผ่านมาทั่วโลกเกิดปัญหาภัยธรรมชาติ ทำให้สินค้าเกษตรมีปริมาณ ลดลง ขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมาจากปัจจัยด้านรายได้ของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การไหลเข้าของเงินทุนทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น และการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในปีนี้ซึ่งจะทำให้เกิดเงินไหลหมุนเวียนในระบบมากกว่าภาวะปกติ

ทำให้ทิศทางของผู้บริโภคในปีนี้อำนาจซื้อที่มีอัตราการเติบมากที่สุดคือ ระดับกลางถึงล่าง ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกธุรกิจต้องหันมาใช้กลยุทธ์ เซกเมนต์เตชั่น แมเนจเม้นท์เม้นท์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในการเจาะเข้าหากลุ่มเป้าหมายของตัวเอง รวมทั้งสิ่งที่จะเห็นในสงครามการตลาดในปีนี้เพิ่มขึ้นคือการล้ำแดนของกลุ่มธุรกจิค้าปลีก ที่ยักษ์ใหญ่จะลงมาเล่นในตลาดเล็กมากขึ้น ดังนั้นการรับมือการแข่งขันที่จะเพิ่มโอกาสมาที่สุดคือการเร่งพัฒนาปรับปรุงในทุกด้าน ทั้งด้านนวัตกรรม ด้านการบริการ อีคอมเมิร์ซ และโมบายโฟนมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นช่องทางที่เติบโตมากในปัจจุบัน โดยในปีที่ผ่านมาพบว่ามีผู้บริโภคซื้อสินค้าผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตประมาณ 57.2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต่อไปการซื้อสินค้าแบบ Non Stone Retailing จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องลุกขึ้นมาปรับกลยุทธ์กันตั้งแต่ต้นปี