กรุงเทพฯ--3 ต.ค.--กพช.
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ เป็นประธาน ได้เรียกประชุม กพช. ในวันที่ 2 ตุลาคม 2545 เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงจากสงครามอิรัก คาดไตรมาส 4 ราคาไม่เกิน 17 บาท ให้หน่วยราชการประหยัดก่อนลดลงอย่างน้อยร้อยละ 5
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์
รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กล่าวว่า ได้เน้นให้มีการประหยัดพลังงานในหน่วยราชการ โดยรัฐบาลได้มีนโยบายให้หน่วยราชการประหยัดพลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ 5 ซึ่งได้ดำเนินการมา 1 ปีแล้ว โดยให้เร่งประหยัดพลังงานได้ทันที คือ รถที่เติมน้ำมันเบนซิน 91 ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 91 ให้ปรับอุณหภูมิห้องปรับอากาศเป็น 25-26 องศาเซลเซียส ซึ่งจะประหยัดไฟฟ้าได้ร้อยละ 10 จัดระบบลิฟท์ให้หยุดชั้นเว้นชั้นหรือขึ้นลงชั้นเดียวให้เดินแทน
ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยราชการที่ให้ความร่วมมือรายงานการใช้พลังงานเพียง 130 หน่วย จากที่มีอยู่ 248 หน่วย ซึ่งจะมีการกำชับให้หน่วยงานทั้ง 248 หน่วย ประหยัดพลังงานอย่างเคร่งครัด โดยตั้งเป้าหมายในระยะแรกลดลงอย่างน้อยร้อยละ 5 คือประมาณ 1,000 ล้านบาท
จากการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันรวม 20,000 ล้านบาท/ปี โดยจะมีการกำชับให้หน่วยงานราชการประหยัดพลังงานอย่างเคร่งครัด หากหน่วยงานใดที่ไม่รายงานจะถือว่าผิดวินัย ส่วนหน่วยงานใดที่ประหยัดได้ถึงร้อยละ 10 ก็จะให้รางวัล
สำหรับมาตรการประหยัดพลังงานในภาวะสงครามอิรักนั้นได้จัดเตรียมมาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงและภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ระดับ คือ โดยในระดับต้น เมื่อราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง
แต่ยังไม่เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมัน จะมีการกำชับใช้ในส่วนราชการประหยัดพลังงานก่อน ให้ประหยัดไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ส่วนประชาชนจะใช้การประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ช่วยกันประหยัด
ระดับกลาง เมื่อเกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับไม่รุนแรง และสามารถจัดหาน้ำมันได้เกินร้อยละ 80 ให้นำมาตรการบังคับต่างๆมาใช้ เพื่อลดการใช้น้ำมันอย่างจริงจัง สำหรับหน่วยราชการให้ลดการใช้พลังงานให้เข้มข้นก่วาเดิมและเข้มงวดมากขึ้น โดยพิจารณายกเว้นเฉพาะกรณีที่เร่งด่วนจำเป็นเท่านั้น สำหรับประชาชน จะมีการเข้มงวดให้จำกัดความเร็วรถไม่เกิน 80 กม./ชม. กำหนดเวลาเปิดปิดห้างสรรพสินค้าและป้ายโฆษณา ระดับรุนแรง เมื่อเกิดการขาดแคลนน้ำมันอย่างรุนแรง จัดหาน้ำมันได้น้อยกว่าร้อยละ 80 จำเป็นต้องมีการปันส่วนน้ำมัน รวมถึงมาตรการป้องกันการกักตุนและควบคุมราคา โดยอาจมีการกำหนดราคาน้ำมันชั่วคราวและให้ปันส่วนน้ำมันตามที่รัฐอนุญาติเท่านั้นด้านนายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลกในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้จนถึงกลางปี 2546 จะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนการผลิตน้ำมันดิบในตลาดโลกนั้น แม้ว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตน้ำมันดิบเกินโควต้าอยู่ประมาณ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน แต่โควต้าการผลิตของกลุ่มโอเปค (10 ประเทศ) ปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำคือ 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน และผลการประชุมของโอเปคเมื่อวันที่ 19 กันยายน 45 โอเปคตกลงที่จะคงปริมาณการผลิตไว้เท่าเดิมที่ระดับ 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน โดยจะมีการประชุมเพื่อทบทวนถึงความต้องการใช้ของโลกอีกครั้งหนึ่งในเดือนธันวาคม 2545 สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น คือ ภาวะสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $2-3 ต่อบาร์เรล โดยราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ $29 - 30 และ $30 -31 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ในฤดูหนาวจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นน้ำมันเพื่อความอบอุ่น โดยคาดว่า ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงไตรมาส 4 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ $31-33 และ $32-34 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ในส่วนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปีช่วงไตรมาส 4 จะเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ และค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 42-43 บาท/เหรียญสหรัฐ คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 16-17, 15-16 และ 14-15 บาท/ลิตร ตามลำดับ--จบ-- -ศน-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit