ซานฟรานซิสโก--18 มี.ค.--พีอาร์เอ็นนิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท
บริษัทไฮนซ์ได้ประกาศว่าแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดนั้น มี วัตถุประสงค์เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจหลัก 6 ประเภทของบริษัทและเพื่อที่ จะเพิ่มผลกำไรและการขยายตัวในระดับโลก สำหรับบริษัทไฮนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหาร ระดับโลกนั้น มีผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่ง เช่นซ้อสมะเขือเทศไฮนซ์และอาหารสำ หรับทารก, โอเร่-ไอด้า, เวท ว็อทเชอร์, สตาร์คิสท์, ฟาร์ลีย์และ9-ไลฟ์
ส่วนการปรับโครงสร้าง, การเพิ่มงบประมาณในด้านสื่อโฆษณาขึ้น 30 % ใน ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา, การขยายการดำเนินงานในต่างประเทศ, ประสิทธิภาพที่สนองตอบต่อ ความต้องการของลูกค้า (อีซีอาร์), การผลิตแบบมูลค่าเพิ่ม, ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่อ้างอิงกับ ราคาและการประหยัดต้นทุนในการดำเนินงานนั้น เป็นสิ่งสำคัญของแผนการที่จะทำให้บริษัท ไฮนซ์ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามของบริษัทผลิตอาหารที่มีชื่อเสียงของโลก
นายอันโธนี เจ.เอฟ.โอ'เรียลลี ประธานกรรมการผู้จัดการบริษัทไฮนซ์ได้ กล่าวว่าทางบริษัทได้เริ่มแผนการที่เรียกว่า Project Millennia เพื่อที่จะเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันในระดับโลก เพื่อที่จะรับมือกับคลื่นการขยายตัวในระดับ โลกในแง่ของการเจริญเติบโตทางด้านชื่อเสียง, การดำเนินการด้านการเงินและเพื่อที่ จะหนุนมูลค่าหุ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 นี้ ทั้งนี้ ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าการขยาย ตัวของค่าจีดีพีในเอเชียจะอยู่ที่ 7 % ในปีนี้และ 6 % ในยุโรปตะวันออกนั้น จึงเป็นช่วง เวลาที่เหมาะสมสำหรับทางบริษัทในการที่จะกระตุ้นยอดขายเข้าเจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่ จำนวนหลายล้านราย ซึ่งมีความพึงพอใจกับการเปิดเสรีในด้านเศรษฐกิจ
สำหรับแผนการในการริเริ่มปรับโครงสร้างนั้น ทางบริษัทได้ประกาศความตั้ง ใจที่จะดำเนินแผนการที่จะปรับโครงสร้างบริษัทสำหรับยุคใหม่ ซึ่งจะลดงบประมาณทางด้าน การเงินในปีนี้ลง (ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 เม.ย.) โดยคาดว่าผลกำไรก่อนหักภาษีจะอยู่ที่ ระดับประมาณ 650 ล้านดอลล่าร์, รายได้จากการซื้อขายทรัพย์สินสุทธิมูลค่า 100 ล้าน ดอลล่าร์จากการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในนิวซีแลนด์และอสังหารริม ทรัพย์ในอังกฤษ
นอกจากนี้ แผนการของบริษัทไฮนซ์ยังรวมถึงประเด็นดังต่อไปนี้ คือ
1. ทางบริษัทได้เข้าร่วมทำข้อตกลงกับบริษัทแม็คเคน ฟู้ด ลิมิเต็ด เพื่อที่จะ ขายธุรกิจการให้บริการด้านอาหารของบริษัทโอเร่-ไอด้า ซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตมันฝรั่ง 2 แห่งในเมืองเบอร์ลีย์และโพลเวอร์และโรงงานผลิตอาหารขบเคี้ยว 4 แห่ง ซึ่งรวมเป็น โรงงาน 6 แห่งที่มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลล่าร์ ถ้าหากได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทาง การจากบอร์ดผู้บริหารของบริษัทแม็คเคน ฟู้ด โดยบริษัทไฮนซ์ได้แสดงความพอใจต่อแผน การของบริษัทแม็คเคน ที่เสนอที่จะจ้างพนักงานทั้งหมดของบริษัทโอเร่-ไอด้า ซึ่งใน ปัจจุบันได้ทำงานเต็มเวลาในโรงงานผลิตดังกล่าว และมองว่าพนักงานประจำสำนักงาน ใหญ่และพนักงานฝ่ายขายมีความจำเป็นในการช่วยส่งเสริมธุรกิจของบริษัท ในขณะนี้บริษัท ไฮนซ์จะให้ความสำคัญกับการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการให้บริการด้านอาหารระดับโลกทั้ง ในสหรัฐ,ยุโรปและเอเชียด้วย
2. ทางบริษัทจะปิดหรือขายโรงงานอย่างน้อย 25 แห่งทั่วโลก ในขณะที่จะ หันไปทุ่มทุนอย่างหนักในการยกระดับและก่อสร้างโรงงานเพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถใน ตลาดที่กำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังจะมีการลดจำนวนพนักงานลงประ มาณ 2,500 คนด้วย แต่จะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อโรงงานและประเภทของธุรกิจที่จะ มีการปิด จนกว่าจะหลังจากที่ได้มีการแจ้งแก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบในช่วง 2-3 เดือน ข้างหน้า
3. โรงงานดังกล่าวที่จะมีการปิดหรือขายนี้ จะได้รับการปรับปรุง โดยการ ยกเลิกการส่งเสริมการค้าในช่วงสิ้นไตรมาส เพื่อที่จะปรับปรุงการหมุนเวียนปริมาณสินค้า, กระแสเงินสดและเงินทุนในการดำเนินงานสำหรับทั้งบริษัทไฮนซ์และลูกค้าของบริษัทด้วย และวิธีการดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการในการที่บรษัทไฮนซ์ จะก้าวเข้าสู่ตลาดในธุรกิจที่สำคัญของสหรัฐ ถ้าหากทางบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปรกติ ก็คาดกันว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการเพิ่มรายได้จากการประกอบการขึ้นอีกเป็น มูลค่า 90-95 ล้านดอลล่าร์สำหรับช่วงไตรมาสที่ 4
4. ทางบริษัทได้เตรียมที่จะถอนตัวออกจากธุรกิจอย่างน้อย 4 ประเภท ที่ไม่ สอดคล้องกับธุรกิจหลักหรือไม่ก่อให้เกิดรายได้
5. บริษัทจะลดค่าใช้จ่ายของระบบการประชุมเวท ว็อทเชอร์ของสหรัฐทั้ง หมดลงประมาณ 55 ล้านดอลล่าร์ เพื่อที่จะดำเนินรอยตามความสำเร็จในระบบเวท ว็อท เชอร์ในอังกฤษ, ภูมิภาคยุโรป, ออสเตรเลียและอเมริกาใต้--จบ--
--บิสนิวส์แปลและเรียบเรียง--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit