ASIANET: ดร.ธรรมนูญ ชี้มาตรการแก้ไขการขาดดุลเน้นออมเงินระยะยาว

กรุงเทพ--21 พ.ค.--ศรีมิตร ดร.ธรรมนูญ อานันโทไทย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ บริษัทเงิน ทุนหลักทรัพย์ ศรีมิตร จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความคิดเห็นของมาตรการเพื่อ ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และนโยบายต่อสถาบันการเงินไทยของทางการนั้น จะ ช่วยได้ในผลระยะสั้นเท่านั้น แต่ปัญหาระยะยาวยังไม่ได้แก้ให้ถูกจุดนั้น คือ ในทาง เศรษฐศาสตร์มหภาค (MACROECONOMIC) แล้วยอดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (CURRENT A/C DEFICIT) ที่ขณะนี้มีมูลค่าประมาณ 7.2% ของผลผลิตมวลรวม รายได้ประชาชาติ (จีดีพี) จะเท่ากันกับส่วนต่างระหว่างเงินออม (SAVINGS) กับ เงินลงทุน (INVESTMENTS) ที่มีมูลค่าประมาณ 7.2% ของผลผลิตมวลรวมภายใน ประเทศ (จีดีพี) นั่นเอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บงล.ศรีมิตร ได้ชี้แจงเพิ่มเติมต่อว่า ใน ขณะนี้ ประเทศไทยมีเงินออม (SAVINGS) ทั้งระบบประมาณ 35% ของจีดีพี ในขณะ ที่ต้องใช้เงินลงทุน (INVESTMENTS) สูงถึงประมาณ 42.2% ของจีดีพี จึงมีผลต่าง ประมาณ 7.2% ต่อจีดีพี ตัวเลขนี้ก็คือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ตามหลักทฤษฏีทาง เศรษฐศาสตร์มหภาค ดังนั้น ทางแก้ไขคือ การเน้นเงินออมระยะยาวให้มากที่สุด แต่ควรจะมีมาตรการระยะยาว โดยใช้นโยบายการเงินและการคลังให้สอดคล้องต่อ เนื่องเพื่อกระตุ้นเงินออมระยะยาว โดยนโยบายการเงินจะต้องเป็นนโยบายยาวและ ต่อเนื่อง ในขณะที่นโยบายการคลังจะต้องเป็นนโยบายเฉพาะกิจในระยะสั้น ๆ เพื่อ กระตุ้นเงินออมในระยะยาว สำหรับตลาดการเงินในภาคเอกชนนั้น ทางรัฐบาลจะ ต้องเน้นและให้ความสำคัญต่อสถาบันและโครงสร้างในตลาดทุน (CAPITAL MARKET) เพราะจะเป็นที่ระดมเงินออมในระยะยาวของภาคเอกชน ถ้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคงแห่งชาติฉบับที่ 8 ที่ต้องการลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้เหลือเพียง 3.5 ของจีดีพีแล้ว รัฐบาลจะต้องเร่งออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการระดมเงินออมระยะ ยาวในตลาดทุนในมากที่สุด เพื่อรองรับต่อการใช้เงินลงทุนในแต่ละปี เพราะส่วนต่าง ของเงินออมกับเงินลงทุนก็คือตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ตัวเดียวกันกับตัวเลขขาดดุล บัญชีเดินสะพัดนั่นเอง สำหรับหลักการ 5 ข้อ ต่อมาตรการการเงิน-การคลัง ในการแก้ไข ปัญหาเงินเฟ้อและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ 1. กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ /บง./บงล. และ BIBF สำรองเงินสด 7% ของการนำเข้าเงินทุนต่างประเทศ ระยะสั้น รวมทั้งการระดมทุนโดยออกตราสารและกู้ยืมโดยตรง จากที่ก่อนหน้านี้ กำหนดให้สำรองเงินสด 7% เฉพาะในบัญชีเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์และบง./บงล. เท่านั้น โดยกระทรวงการคลังเห็นชอบแล้วเมื่อ 10 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อีก 60 วัน หลังวันประกาศกฤษฏีกา 2. ให้ ธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ตามมาตรฐาน BIS จาก 8% เป็น 8.5% โดยเพิ่มขึ้นในส่วนกองทุนขั้นที่ 1 จาก 5.5% เป็น 6.0% ส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 2 ยังคงเดิมที่ 2.5% ส่วนธนาคารต่างประเทศให้ปรับเพิ่มจาก 6.75% เป็น 7.5% โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2539 3. แก้พระราชบัญญัติ ประมวลรัษฏากรให้การปันผลในธุรกิจ BIBF ขอเครดิตคืนได้เพียง 10% หรือ 1/9 จากปัจจุบันที่ใช้ในอัตรา 30% หรือ 3/7 เพื่อลดแรงจูงใจในการนำเข้าเงินทุนจาก ต่างประเทศ และเพิ่มความเป็นธรรมทางภาษี 4. ออกกฤษฏีกาห้ามนำรายจ่ายของ นิติบุคคลที่ซื้อรถยนต์เกิน 1 ล้านบาท รวมถึงค่าเช่ารถยนต์ที่มีมูลค่าเกิน 3.6 หมื่น บาท/เดือน มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิในการชำระปลายปี และไม่ สามารถนำค่าซื้อและค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าวมาขอเครดิตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย 5. กำหนดให้ BOI หาแนวทางสนับสนุนการผลิตสินค้าครบวงจร เพื่อลดการนำเข้า สินค้าวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป มาตรการทั้ง 5 ข้อ ดังกล่าวข้างต้น สอดคล้องกับนโยบายการเงินที่จะ มีผลกระทบต่อรายได้ของสถาบันการเงินไทย ทั้ง 7 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1. กำหนดให้ ปล่อยสินเชื่อเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ 2. ปรับเกณฑ์บันทึกข้อมูลบัญชีดอกเบี้ยค้าง รับใหม่ กรณีลูกหนี้ค้างชำระดอกเบี้ยเกิน 6 เดือน 3. เพิ่มวงเงินกู้ขั้นต่ำสินเชื่อใน BIBF ประเภท OUT-IN จาก 5 แสนเหรียญสหรัฐเป็น 2 ล้านเหรียญสหรัฐ 4. กำหนดการขยายสินเชื่อปี 2538 รวมสินเชื่อ BIBF ประเภท OUT-IN ไม่เกิน 24.5% 5. รักษาความสมดุลของอัตราสินเชื่อต่อเงินฝากในประเทศไม่เกินอัตรา 111.9% 6. แยกการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง สำหรับเงินฝากเงินบาทของผู้มีถิ่น ฐานอยู่ต่างประเทศที่มีระยะเวลาไถ่ถอนครบกำหนดต่ำกว่า 1 ปี ออกจากเงินฝากใน ประเทศ 7. ให้ปรับปรุงวิธีการคำนวณฐานะเงินตราต่างประเทศสุทธิใหม่--จบ--

• ข่าวธรรมนูญ อานันโทไทย
• ข่าวสถาบันการเงินไทย
• ข่าวสถาบันการเงิน
• ข่าวเศรษฐศาสตร์
• ข่าวหลักทรัพย์