นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การจำหน่ายสินเชื่อที่ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ BAM ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการสินเชื่อเงินกู้ที่อยู่อาศัยที่ ไม่ก่อให้เกิดรายได้พร้อมกับพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ตามที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ ธอส. จำหน่าย NPL ที่คงค้างเกิน 3 ปีขึ้นไปวงเงินไม่เกิน 14,000 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 โดยหลังจากที่ธนาคารได้แจ้ง ให้ลูกหนี้ทราบว่าจะดำเนินการจำหน่าย NPL ตามขั้นตอน ทำให้มีลูกหนี้จำนวนหนึ่งกลับมาติดต่อขอเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้กับธนาคาร ส่งผลให้เหลือ NPL ที่จำหน่ายให้กับ BAM และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารแล้วคิดเป็นมูลค่าเงินต้นคงค้าง 6,971 ล้านบาท และช่วยให้ NPL ของธนาคาร ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ลดลงจาก 5.29% เหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ซึ่งการจำหน่าย NPL ในครั้งนี้ยังทำให้ธนาคารประหยัดเวลา บุคลากร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ และมีความแข็งแกร่ง ทางการเงินมากขึ้น โดยสามารถนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายเป็นเงินสดสำรองในกองทุนของธนาคาร เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2560 ที่ 178,224 ล้านบาทต่อไป ซึ่ง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2560 ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 126,995 ล้านบาท และ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2560 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมก่อนจำหน่าย NPL ในครั้งนี้ 980,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67% สินทรัพย์รวม 1,050,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.43% เงินฝากรวม 862,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.50% กำไรสุทธิ 9,048 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.42% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้านนายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า การลงนามในสัญญาจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ระหว่าง ธอส. กับ BAM ในครั้งนี้ มีภาระหนี้เงินต้น 6,971 ล้านบาท จำนวนลูกหนี้ 13,407 บัญชี โดยลูกหนี้มีทั้งที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2548 BAM มีการลงนามซื้อ NPL จาก ธอส. รวม 4 ครั้ง คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น รวมทั้งสิ้น 26,723 ล้านบาท จำนวนลูกหนี้ 50,586 ราย
ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป BAM จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอม เพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี BAM ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป
ปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแลจำนวน 76,230 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 435,826 ล้านบาท ขณะที่ มี NPA จำนวน 15,824 รายการ คิดเป็นมูลค่า 43,605 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักของการรับซื้อ NPL และ NPA จากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ มุ่งเน้นการเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ปัญหา และลดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ในอนาคต