บล.เอเชีย เวลท์ คาด ราคาน้ำมันโลกกดดันตลาดหุ้นแนะนำซื้อ CHG

18 Jan 2016
บล.เอเชีย เวลท์ มองราคาน้ำมันโลก และความกังวลเศรษฐกิจจีน เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ แนะนำซื้อหุ้น CHG
บล.เอเชีย เวลท์ คาด ราคาน้ำมันโลกกดดันตลาดหุ้นแนะนำซื้อ CHG

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่สำคัญสัปดาห์นี้ คือ ราคาน้ำมันโลก หลังจากที่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่ำกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และเมื่อวันเสาร์ทางสหประชาชาติได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกกดดันเพิ่มขึ้นจากอุปทานที่ล้นตลาดอยู่แล้ว โดยอิหร่านมีกำลังผลิตมากถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ช่วงที่ผ่านมาจะถูกคว่ำบาตรไม่ให้ส่งออกไปได้เต็มที่ แต่ก็สามารถส่งออกน้ำมันได้เกือบ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเมื่อยกเลิกการคว่ำบาตรแล้ว อิหร่านจะสามารถส่งออกน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิต ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันอย่างมาก

นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจของจีนว่าจะเติบโตอย่างที่คาดหรือไม่จากการรอประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในวันอังคารยังกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ส่งออกน้ำมันเอง ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำในระดับนี้ ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างหนัก GDP ของประเทศในกลุ่มนี้หายไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ออกมาเพื่อหาเม็ดเงินมาชดเชย ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนและยิ่งกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้นอีก

ปัจจัยภายในประเทศ ยังคงมีปัญหาด้านภัยแล้งที่เป็นปัจจัยลบ แต่ก็ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ ด้านการส่งออกที่น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น และความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐ แต่คงจะไม่สามารถต้านทานปัจจัยลบภายนอกได้

นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ คือ หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล คือ CHG ของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ที่ให้บริการด้านการแพทย์ทั่วไป ประกอบด้วยเครือข่ายโรงพยาบาลในเขตอุตสาหกรรม ได้แก่ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตลอดจนในเขตกรุงเทพฯ และใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลชั้นนำของไทยอื่นๆ CHG จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการเปิด AEC เริ่มในปีนี้จากที่ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมของคนสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นในแง่ปริมาณและคุณภาพ

CHG ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายรับจากลูกค้ากลุ่ม A คือ ลูกค้าเงินสด บริษัท และผู้ถือกรมธรรม์สุขภาพ ซึ่งมีอัตรากำไรอยู่ในระดับสูงมากกว่าลูกค้าทั่วไป และลูกค้าตามแผนประกันสังคม โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายรับกลุ่ม A ให้เป็น 60% ในปีนี้จาก 51% ในปัจจุบัน ทั้งนี้ CHG มีแผนจะขยายความสามารถในการรองรับคนไข้ใน 3 โรงพยาบาลหลักของกลุ่มภายในปี 2016

จากการรวบรวมของ Bloomberg นักวิเคราะห์คาดประมาณกำไรของ CHG ว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 25% ในปี 2558 และเติบโต 24% ในปี 2559 และ 20% ในปี 2560 โดยผิวเผินดูเหมือนหุ้น CHG จะแพงเกินไปด้วย PE ปี 2559 ที่ 47 เท่า แต่หากพิจารณาจากอัตราส่วนของราคาต่อกำไรต่อหุ้นต่อร้อยละการเติบโตของกำไร (PEG Ratio) ปี 2559 จะอยู่ที่ 2.0 เท่า เทียบกับคู่แข่ง คือ BDMS และ BH ที่อยู่ที่ 2.7 เท่า ถือว่า CHG น่าสนใจกว่ามาก

ด้านราคาเป้าหมาย ของ Bloomberg consensus อยู่ที่ 2.51 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันสูงเกินกว่าราคาเป้าหมายไปแล้ว สัญญาณทางเทคนิคทำให้คาดว่าหุ้นตัวนี้มีโอกาสทำ All time new high โดยด้านเทคนิค เกิดสัญญาณซื้ออย่างแข็งแกร่งทั้งรายวันรายสัปดาห์และรายเดือน ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน