ชโย กรุ๊ป ลั่นผลงานครึ่งปีหลังโตต่อ ซื้อหนี้เพิ่มพันล้าน ดันพอร์ตสินเชื่อ-รายได้ทะลุเป้า

15 Aug 2018
ชโย กรุ๊ป อวดกำไรไตรมาส 2/2561 โต 48% อยู่ที่ 24.05 ล้านบาท ขณะพอร์ตสินเชื่อสิ้นสุด 30 มิ.ย. 61 อยู่ที่ 37.25 หมื่นล้านบาท "สุขสันต์ ยศะสินธุ์" ซีอีโอเปิดแผนครึ่งปีหลัง จ่อปิดดีลซื้อหนี้เพิ่มจากสถาบันการเงินเพิ่มอีกอย่างน้อย 1.5 พันล้าน ดันพอร์ตสินเชื่อทั้งปีแตะ 4 หมื่นล้านบาท มั่นใจธุรกิจใหม่ "สินเชื่อส่วนบุคคล" ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่งผลรายได้ปี 2562 เพิ่ม
ชโย กรุ๊ป ลั่นผลงานครึ่งปีหลังโตต่อ ซื้อหนี้เพิ่มพันล้าน ดันพอร์ตสินเชื่อ-รายได้ทะลุเป้า

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจเจรจาติดตามและเร่งรัดหนี้สิน และบริหารสินทรัพย์จากการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันจากสถาบันการเงิน และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 70.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.66 ล้านบาท หรือ 36.15% จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 24.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.80 ล้านบาท หรือ 48% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ 69.7% และอัตรากำไรสุทธิที่ 34.20% ในขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปี 2561 อยู่ที่ 38.52 ล้านบาทและอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับครึ่งปีแรกอยู่ที่ 66.30% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 32.00%

สาเหตุที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปีนี้ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากรายได้จากการขายหลักประกันของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในไตรมาสที่ 2 และการเริ่มรับรู้รายได้ของพอร์ทสินเชื่อ UOB ที่เพิ่งซื้อเข้ามา

นายสุขสันต์กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2561 บริษัทฯ เชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้จากสถาบันการเงินจำนวน 3 - 4 แห่ง รวมมูลค่าหนี้ประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปก่อนสิ้นปีแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่ระบุว่าปี 2561 จะเข้าซื้อหนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถซื้อหนี้ได้แล้ว 8,600 ล้านบาทขณะที่มูลหนี้คงค้าง ณ ไตรมาสที่ 2/2561 อยู่ที่ 37.25 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันประมาณ 35.34 ล้านบาท และหนี้ที่มีหลักประกันประมาณ 1.91 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ยังคงมั่นใจว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% แน่นอน

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร มูลค่า 7,951 ล้านบาท จากธนาคารยูโอบี โดยเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตมากกว่า 60% ของพอร์ต ทั้งนี้บริษัทวางแผนจะใช้ระยะเวลาบริหารหนี้ 5 ปี โดยในไตรมาส 2 บริษัทฯ ก็เริ่มรับรู้รายได้ได้แล้วบางส่วน และจะเริ่มทยอยรับรู้ในไตรมาส 3 และ 4/2561 ต่อไป

และเมื่อเดือนก.ค. 2561 บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ "ชโย แคปปิตอล จำกัด ("เดิม ชื่อบริษัทชโย เงินกู้" เพื่อให้บริการปล่อยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อนาโน และพิโก ไฟแนนซ์ เพื่อเสริมบริการใหม่ให้ลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อให้บริการครบวงจรทางด้านการเงิน และได้เปลี่ยนชื่อ ชโย คอลเซ็นเตอร์ เป็น ชโย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส รองรับวัตถุประสงค์ธุรกิจที่เพิ่มการให้กู้เงินโดยรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ คาดเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 4/2561

"กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจปล่อยสินเชื่อคือพนักงานประจำ ทั้งบริษัทเอกชนและรัฐบาล ลูกจ้างประจำ หรือลูกค้าเดิมที่มีธุรกรรมกับบริษัทฯ เนื่องจากมองเห็นความต้องการและศักยภาพของลูกค้า ขณะที่จุดแข็งของบริษัทฯ คือความชำนาญในการเก็บและปล่อยสินเชื่อ จึงมั่นใจว่าธุรกิจปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทจะผลักดันให้ผลประกอบการโดยรวมปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่อย่างแน่นอน" นายสุขสันต์ กล่าว

นายสุขสันต์กล่าวเพิ่มว่า ภาพรวมของสินเชื่อทั้งระบบในปี 2561 คาดว่าภาคธนาคารจะมียอดปล่อยอยู่ที่ 14 - 15 ล้านล้านบาท และคาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) น่าจะอยู่ที่ 3% หรือราว 4.2 - 4.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่มีไม่หลักประกันประมาณ 1.0 แสนล้านบาท และอีกประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้บริษัทเข้าไปซื้อหนี้ได้เพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนไว้ราว 500 – 600 ล้านบาท จะซื้อพอร์ตหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร ซึ่งตั้งเป้าซื้อมูลหนี้เข้ามาบริหาร 10,000 ล้านบาท โดยมูลหนี้ที่อยู่ภายใต้การลงทุนและการบริหารของบริษัท ณ สิ้นปี 2561 คาดว่าจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท