ปภ. แนะเทคนิคขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม - รถดับกลางน้ำ

22 Jun 2016
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะผู้ขับขี่เรียนรู้หลักขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม โดยปิดเครื่องปรับอากาศ ใช้ความเร็วต่ำ รักษาความเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งเครื่อง เพื่อป้องกันคลื่นน้ำพัดเข้าห้องเครื่องและพัดลมทำงานหนัก ทำให้เครื่องยนต์ดับได้ กรณีรถดับขณะขับผ่านเส้นทางน้ำท่วมให้นำรถออกจากเส้นทาง ปิดระบบไฟฟ้า และระบายน้ำออกจากห้องเครื่อง พร้อมปล่อยให้อุปกรณ์ต่างๆ แห้ง หากรถมีอาการผิดปกติ เครื่องยนต์สะดุด ควรนำรถไปให้ช่างตรวจสอบก่อนนำไปใช้งาน เพื่อป้องกันอันตรายจากเครื่องยนต์ที่ชำรุดเสียหาย

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า การขับรถผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมสูงมีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายและเครื่องยนต์ชำรุดเสียหาย เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอแนะข้อควรปฏิบัติในการขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม ดังนี้ ปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะพัดลมจะพัดน้ำเข้าไปในห้องเครื่อง ทำให้เครื่องยนต์ดับ รวมถึงอาจพัดเศษวัสดุเข้าไปติดในมอเตอร์พัดลมหรือใบพัด ทำให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ขัดข้อง ใช้ความเร็วต่ำ โดยรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างส่ำเสมอ เพื่อป้องกันคลื่นน้ำที่อาจกระเด็นบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง และกระแสน้ำอาจพัดเข้าห้องเครื่อง ทำให้เครื่องยนต์ดับ ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางรถ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ไม่เร่งเครื่อง เพราะจะทำให้ความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนทำงานหนัก และน้ำเข้าเครื่องยนต์มากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ ใช้เกียร์ต่ำ หากเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดา ให้ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 พยายามเลี้ยงคลัตช์ พร้อมเร่งเครื่องยนต์ให้รอบเครื่องสูงกว่าปกติเล็กน้อย สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้เกียร์ L และรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ ลดการใช้เบรก โดยใช้ความเฉื่อยของเครื่องยนต์ ในการหยุดรถหรือชะลอความเร็ว เพื่อความปลอดภัย ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกรณีรถคันหน้าขัดข้องหรือหยุดกะทันหัน กรณีรถดับขณะขับผ่านเส้นทางน้ำท่วม ให้รีบนำรถออกจากเส้นทางโดยใช้วิธีลากหรือจูง จากนั้นเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆ ของรถ ทำให้เครื่องยนต์เสียหายมากขึ้น ระบายน้ำในห้องเครื่อง โดยถอดน็อตอ่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ เฟืองท้าย ถังน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อน้ำที่ขังอยู่ไหลออกมาหมดให้ขันน็อตปิด ตัดระบบไฟฟ้าไม่ให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ โดยปลดอุปกรณ์ที่เป็นขั้วไฟฟ้าและปลั๊กทุกตัวในห้องเครื่อง พร้อมถอดหัวเทียน แผงฟิวส์ กล่องรีเลย์ และกล่องสมองกล (ECU)ปล่อยให้อุปกรณ์ต่างๆ แห้ง โดยการตากแดด เป่าด้วยลมร้อน หรือใช้สเปรย์ฉีดไล่ความชื้น จนชิ้นส่วนต่างๆ แห้งสนิท หรือไม่มีความชื้น จากนั้นให้ประกอบชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้ากลับเข้าที่เดิม ทดสอบเครื่องยนต์ในเบื้องต้น โดยเปิดสวิตช์ไฟ เพื่อตรวจดูแผงไฟบนหน้าปัดรถ พร้อมทดลองสตาร์ทรถ โดยไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่ออุ่นเครื่องและไล่ความชื้นในห้องเครื่อง สังเกตอาการของเครื่องยนต์ โดยทดลองเข้าเกียร์ทุกตำแหน่งขณะที่รถจอด หากทุกเกียร์ตอบสนอง ให้ลองเคลื่อนรถโดยใช้เกียร์ต่ำ หากรถมีอาการสะดุด เครื่องยนต์สั่น หรือเร่งเครื่องยนต์ไม่ขึ้น ให้นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ เพื่อให้ช่างดำเนินการตรวจสอบก่อนนำรถไปใช้งาน ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว หากไม่สามารถใช้งานได้ ให้เปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ก่อนนำรถไปใช้งาน ทั้งนี้ หลังขับรถผ่านเส้นทางน้ำท่วม และรถมีอาการเครื่องยนต์สั่น เดินไม่เรียบ มีเสียงดัง เร่งเครื่องไม่ขึ้น น้ำมันเกียร์มีสีคล้ายสีชาเย็น เป็นต้น ควรนำรถไปให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจสอบสภาพนำรถไปใช้งาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ 0-2243-0674 0-2243-2200 www.disaster.go.th