กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
ดนตรีประกอบภาพยนตร์มากมายของวิลเลียมส์ ได้รับการจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ ; ซาวนด์แทร็คอัลบั้มของเรื่อง Star Wars มียอดขายกว่าสี่ล้านแผ่น และผลงาานอัลบั้มชุดของวิลเลียมส์ ร่วมกับ Boston Pops Orchestra เริ่มเมื่อปี 1980 นับจนถึงปัจจุบัน เขาได้บันทึกไปแล้วกว่า 20 อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับวงออเคสตร้า และล่าสุดที่บันทึกเสียง คือ 'Summon the Heroes' ซึ่งเป็นไตเติ้ลแทร็คและเพลงหลักอย่างเป็นทางการของ 1996 Summer Olympics in Atlanta วิลเลียมส์ได้กำกับวง Boston Pops Esplanade Orchestra ให้ United States Tours ในปี 1985, 1989 และ 1992 และทัวร์ญี่ปุ่นในปี 1987 และนำวง Boston Pops Orchestra ไปทัวร์ญี่ปุ่นในปี 1990 และ 1993 นอกจากนั้นยังได้นำ Boston Symphony Orchestra ใน Symphony Hall และ Tanglewood วิลเลียมส์ได้เป็นผู้กำกับวงรับเชิญให้กับวงออเคสตร้าใหญ่ๆ มากมาย รวมทั้ง London Symphony, Cleveland Orchestra, Philadelphia Orchestra, Chicago Symphony, Pittsburgh Symphony, Dallas Symphony, San Francisco Symphony และ Los Angeles Philharmonic, และเขาได้แสดงร่วมที่ Hollywood Bowl. วิลเลียมส์ได้รับปริญญากิติมศักกดิ์จากมหาวิทยาลัยอเมริกันถึง 18 แห่ง รวมทั้ง Berklee College of Music แห่ง Boston, Boston College, Northeastern University, Tufts University, Boston University, New England Conservatory of Music, University of Massachusetts at Boston, The Eastman School of Music และ Oberlin Conservatory of Music
โรเจอร์ แพรตต์ (ผู้กำกับภาพ) ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองและ BAFTA is ล่าสุดโด่งดังจากงานได้รับรางวัลเรื่อง Iris และ Chocolat ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงทั้งรางวัล BAFTA และ British Society of Cinematographers
ผลงานภาพยนตร์เด่นของเขา ยังรวมถึงงานที่น่าสนใจมากมายในประเภทเดียวกัน ได้แก่ : The End of the Affair แสดงโดยราล์ฟ ไฟนส์ และจูเลียน มัวร์ และเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ; Twelve Monkeys แสดงโดย บรูซ วิลลิส; Shadowlands แสดงโดยแอนโทนี ฮอปกินส์ และ The Fisher King แสดงโดยเจฟ บริดเจ็ส และโรบิน วิลเลียมส์งานภาพยนตร์หลัก ได้แก่: Grey Owl แสดงโดยเพียซ บรอสแนน ; The Avengers แสดงโดยราล์ฟ ไฟนส์ ; In Love and War; Mary Shelley's Frankenstein กำกับและแสดงโดย เคนเน็ธ บรานัค; Batman; High Hopes; Paris by Night; Mona Lisa; Dutch Girls; Brazil และ Monty Python's Meaning of Life: The Crimson Permanent Assurance
เขายังเป็นผู้กำกับภาพให้กับรายการโชว์ทางโทรทัศน์และซีรี่ส์อีกมากมาย ได้แก่ : King Lear ในปี 1999; Bernard and the Genie ปี 1991; Jim Henson's Storyteller: Greek Myths ปี1990; Scoop ปี 1987; The Short and the Curlies ปี 1987 และ Meantime ปี1981
การสร้างสรรค์งานในโลกเวทมนตร์ของฮอกวอตส์นั้น ต้องการผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงของวงการ และใครเล่าจะดีไปกว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทอง และได้รับมาถึงสามครั้งอย่าง สจ๊วต เครก (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) ล่าสุดได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล จากงานออกแบบที่แทบลืมหายใจ ใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์และฉากที่น่าทึ่งจากเรื่องแรกนั้นก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Evening Standard Award และ BAFTA อีกด้วยเครกได้รับรางวัลมาโดยตลอดระยะเวลา 20 ปี ในปี 1981 เขาได้รับรางวัลตุ๊กตาทองตัวแรกด้าน Best Art Direction (และเข้าชิงรางวัล BAFTA) ในหนังของริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ เรื่อง Ghandi
และอีกครั้งกับรางวัลตุ๊กตาทองในปี 1988 ในงานของสตีเฟน เฟรียร์ เรื่อง Dangerous Liaisons (และเข้าชิง BAFTA) และภายหลังในปี 1996 เขาได้กวาดรางวัลตุ๊กตาทองตัวที่สาม, เข้าชิง BAFTA และ Award for Excellence in Production Design จาก Society of Motion Picture & Television Art Directors, USA จากงานของแอนโทนี มิงเกลล่า เรื่อง The English Patient
เครกยังได้เข้าชิงสามตุ๊กตาทองจากงานของเดวิด ลินช์ เรื่อง The Elephant Man (1979), ของโรแลนด์ โจฟ The Mission (1986) และของริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ เรื่อง Chaplin (1991). และยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล BAFTA ด้วยงานของฮิวห์ ฮัดสัน เรื่อง Greystoke (1982)
นอกเหนือจากรางวัลที่เหลือเฟือ เครกยังมีผลงานที่สามารถหาชมได้ทางงานภาพยนตร์ รวมทั้ง : Cal (1983) ซึ่งเขาอำนวยการสร้าง; Cry Freedom (1986); Memphis Belle (1988); The Secret Garden (1992); Shadowlands (1993); Mary Reilly (1994); In Love and War (1996); The Avengers (1997) และล่าสุด The Legend of Bagger Vance ปี 1999
ผู้มีพรสวรรค์หลากหลายอย่าง (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ลินดี้ เฮมมิ่ง ได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์กว่า 40 และงานศิลป์ของเธอได้นำมาซึ่งรางวัลตุ๊กตาทอง จากหนังของไมค์ เลห์ เรื่อง Topsy Turvy นอกจากนั้นยังได้ถูกเสนอชื่อชิงรางวัล BAFTA Award จากหนังของไมค์ นีเวลล์ เรื่อง Four Weddings and a Funeral และของร็อบ ไนท์ เรื่อง Porterhouse Blue
เฮมมิ่งยังได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับหนังเจมส์ บอนด์สี่เรื่องล่าสุด ซึ่งทุกเรื่องนำแสดงโดยเพียซ บรอสแนน ได้แก่ : Die Another Day (อยู่ระหว่างถ่ายทำ); The World is Not Enough; Tomorrow Never Dies และ GoldenEye งานเรื่องล่าสุดที่โดดเด่น ได้แก่ : หนังของไซมอน เวสต์ Tomb Raider โดยแอนเจลิน่า โจลี่ ; หนังของแซลลี่ พอตเตอร์ เรื่อง The Man Who Cried โดยจอห์นนี่ เด็พ; หนังของวิลเลียม บอยด์ เรื่อง The Trench; หนังของมาร์ค เฮอร์แมน เรื่อง The Rise of Fall of Little Voice แสดงโดย เจน ฮอร์ร็อค; หนังของจอห์นนี่ เด็พ เรื่อง The Brave ร่วมแสดงโดยเด็พ และมาร์ลอน แบรนโด; หนังของโทนี่ ฮิกคอกซ์ เรื่อง Prince Valiant; หนังของบ็อบ ราเฟลสัน เรื่อง Blood & Wine แสดงโดยแจ็ค นิโคลสัน ; หนังของปีเตอร์ เชลสัม เรื่อง Funny Bones; หนังของแนนซี เมกเลอร์ เรื่อง Sister, My Sister แสดงโดยจูลี่ วอลเตอร์ส และแบร์รี่ เดฟลิน เรื่อง All Things Bright & Beautiful นำแสดงโดยเกเบรียล เบิร์นก่อนหน้านี้ งานของเฮมมิ่งในภาพยนตร์ที่โดดเด่น ได้แก่ : หนังของนิค แฮมม์ เรื่อง Dancing Queen แสดงโดยเฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ ; หนังของไมค์ เลห์ เรื่อง Naked นำแสดงโดยเดวิด ธิวลิส ; หนังของเจสัน เลเฮล เรื่อง Boiling Point; หนังของอูดายัน ปราสาด เรื่อง Running Late; หนังของสตีเฟน กิลเลนฮาลล์ เรื่อง Waterland นำแสดงโดยเจเรมี ไอออนส์; หนังของมาร์ค เฮอร์แมน เรื่อง Blame it on the Bellboy; หนังของปีเตอร์ เชลสัม เรื่อง Hear My Song; หนังของไมค์ เลห์เรื่อง Life is Sweet; หนังของปีเตอร์ มีดัค เรื่อง The Krays; หนังของจอน อามิล เรื่อง Queen of Hearts; หนังของไคลฟ์ รีส เรื่อง When the Wales Came; หนังของไมค์ เลห์ เรื่อง High Hopes; หนังของร็อบ ไนท์ เรื่อง Porterhouse Blue; หนังของเดวิด โจนส์ เรื่อง 84 Charing Cross Road; หนังของสตีเฟน เฟรียร์ เรื่อง My Beautiful Launderette และ The Bullshitters; หนังของชาร์ลส ครอมลีย์ เรื่อง Heavenly Pursuits; หนังของเดวิด แฮร์ เรื่อง Wetherby; หนังของริชาร์ด ไอร์ส เรื่อง Laughterhouse และ Loose Connections และอีกครั้งกับผู้กำกับไมค์ เลห์ ใน Meantime
แสงไฟและเวทมนตร์โดย จิม มิทเชล (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค) ร่วมงานกับนิค เดวิสในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ
มิทเชลร่วมงานกับ ILM ในปี 1990 และมีบทบาทสำคัญในงานสร้างสรรค์ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคอันตระการตา ในเรื่อง JURASSIC PARK, DEATH BECOMES HER และ TERMINATOR 2: JUDGMENT DAY, ซึ่งทั้งหมดได้รับรางวัลตุ๊กตาทองด้าน BEST ACHIEVEMENT IN VISUAL EFFECTS
งานภาพยนตร์ที่โดดเด่นส่วนใหญ่ ในตำแหน่งผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็คที่ ILM ได้แก่ : Jurassic Park III; Sleepy Hollow; October Sky; Mighty Joe Young ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองด้าน Best Achievement in Visual Effects; Contact; Mars Attacks! และ Eraser (ร่วมควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค)
มิทเชลเป็นผู้ควบคุมคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แอนนิเมเตอร์ และสร้างแบบ ให้กับโรบิน วิลเลียม ในงานผจญภัยเรื่อง Jumanji และควบคุมคอมพิวเตอร์กราฟฟิคของเรื่อง The Mask; ผู้กำกับเทคนิคเรื่อง Jurassic Park และ Death Becomes Her; ผู้กำกับเทคนิคและแอนนิเมเตอร์ของ Star Trek VI และผู้กำกับเทคนิคเรื่อง Terminator 2: Judgment Day
นิค เดวิส (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค) ร่วมงานกับร็อบ เลกาโตใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ และในตอนนี้ร่วมทีมกับจิม มิทเชล ทางด้านควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็คของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ
งานวิชวลเอ็ฟเฟ็คในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก และถูกเสนอชื่อชิงรางวัล BAFTA Award, AFI Award, Golden Satellite และ Saturn Award ผลงานเด่นก่อนหน้านี้ ได้แก่: งานของจอน เอมิล เรื่อง Entrapment; ของเจเรเมีย เชชนิค เรื่อง The Avengers; ของโจ เอล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Batman and Robin (หลังการถ่ายทำ) และ Batman Forever (หลังการถ่ายทำ); หนังของแอนดรู เดวิส เรื่อง Chain Reaction และ Wes Craven's A New Nightmare (อำนวยการวิชวลเอ็ฟเฟ็ค)เดวิสยังเป็นผู้ควบคุมด้านเทคนิคให้กับปีเตอร์ เวียร์ ในเรื่อง Fearless, อำนวยการวิชวล เอ็ฟเฟ็คให้กับแอนดรู เดวิส ในเรื่อง The Fugitive และควบคุมด้านเทคนิคให้กับเดวิสอีกครั้งใน Under Siege a และอำนวยการวิชวล เอ็ฟเฟ็คให้แซม ไรมี ใน Army of Darkness
เดวิสจบการศึกษาปริญญาตรี (เกียรตินิยม) สาขา English และ Politics จาก Oxford Brooks University และได้รับตำแหน่งใน BAFTA Visual Effects Nomination Committee
เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองและ BAFTA Award จอห์น ริชาร์ดสัน (ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค) (Aliens) เป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คของเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ และในตอนนี้ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับเขาก้าววเข้าสู่งานบันเทิงในปี 1962 เมื่ออายุเพียงสิบหกปี โดยการร่วมงานกับบิดาของเขา คลิฟ ริชาร์ดสัน ผู้บุกเบิกงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค ซึ่งทำงานธุรกิจภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1921 ทั้งคู่ทำงานร่วมกันในเรื่อง The Victors, Lord Jim, Battle of Britain, Help และอื่นๆ อีกมากมาย
ริชาร์ดสัน เริ่มงานควบคุมในภาพยนตร์ในปี 1967 และทำงานให้กับเรื่อง The Devils, Straw Dogs, Young Winston และ The Omen งานของเขาไดรับคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง และล่าสุดยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองถึงสองตัวจากเรื่อง Cliffhanger (รับผิดชอบทั้งไลฟ์แอ็คชั่น และถ่ายทำฉากเครื่องบินตก) และ Starship Troopers นับแต่ทำงานให้กับ A Bridge Too Far ในปี 1976 ริชาร์ดสันได้รับผิดชอบด้านงานเอ็ฟเฟ็คให้ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ทั้ง 8 เรื่อง และ Ladyhawke ของริชาร์ด ดอนเนอร์ r, Willow ของจอร์จ ลูคัส และ Far and Away ของรอน โฮเวิร์ด นับแต่ได้ลงหลักปักฐานในแคลิฟอร์เนีย รอชาร์ดสันได้ทำงานด้านเอ็ฟเฟ็คให้กับ Ghost in the Machine และ Love Affair ซึ่งอำนวยการสร้างโดยวอร์เรน เบ็ตตี้ และกำกับการแสดงโดยเกลน กอร์ดอน แครอน เขาได้ทำงานวิชวลและไลฟ์แอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ และตามมาด้วย Bushwacked, The American President, Rock และ หนังของจอห์น วู เรื่อง Broken Arrow. เขาควบคุมงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คทุกชนิด รวมทั้งงานเครื่องกล ทางกายภาพ เทคนิคไพโร ระเบิด และเอ็ฟเฟ็คจำลอง และเคยกำกับงานแบบจำลอง และยูนิตที่สอง และเป็นวิศวกร "มือดี"
ในช่วงปีที่ผ่านมา เขาได้ทำงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คให้กับเรนนี่ ฮาร์ลิน ในเรื่อง Deep Blue Sea, และแบบจำลองให้กับ The World is Not Enough และหนังของเบรต แรตเนอร์ เรื่อง Family Man. และยังเป็นผู้ถ่ายทำแบบจำลองให้กับ Die Another Day, หนังเจมส์ บอนด์ตอนใหม่ล่าสุดด้วย
นิค ดัดแมน (ผู้ออกแบบตัวแสดงพิเศษ & เมคอัพเอ็ฟเฟ็ค) และทีมงานได้สร้างงานเมคอัพเอ็ฟเฟ็ค และตัวแสดงพิเศษให้กับทั้ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ และแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ
ดัดแมนได้เริ่มการทำงานภาพยนตร์ด้วยการสร้างปรมาจารย์เจได โยดา เมื่อตอนฝึกงานกับเมคอัพอ่ร์ติสท์ชาวอังกฤษ สจ๊วต ฟรีบอร์น ในหนังตอนแรกของ Star Wars ซีรี่ส์ - The Empire Strikes Back
หลังจากฝึกหัดกับฟรีบอร์นเป็นเวลาสี่ปี ในเรื่อง Superman II และ Top Secret! ดัดแมน ถูกทาบทามให้นำทีมช่างแต่งหน้าอังกฤษให้กับริดลีย์ สก็อต ในเรื่อง Legend นับแต่นั้นมา เขาได้ทำงานในเรื่อง Mona Lisa, High Spirits, Interview With the Vampire, Batman และ Judge Dredd
ในปี 1995 เส้นทางการทำงานได้เปิดกว้างขึ้นไปสู่การเป็นแอนนิเมโทรนิค และเอ็ฟเฟ็คตัวแสดงในสัดส่วนใหญ่และเขาได้รับการขอให้ดูแลแผนกสร้างตัวแสดงซึ่งมีคนงาน 55 คน กับงานของลุค เบสสัน เรื่อง The Fifth Element นับแต่นั้นมาเขาได้ดูแลแผนกออกแบบตัวแสดงพิเศษ & เมคอัพเอ็ฟเฟ็ค Since then he ให้กับงานยอดฮิตอีกหลายเรื่อง อาทิเช่น Star Wars Episode 1: The Phantom Menace, The Mummy และ The Mummy Returns นอกจากนั้นบริษัทของเขา Pigs Might Fly ยังผลิตและจำหน่ายเลือดปลอมและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเปิดสอนวิชาเมคอัพพิเศษอีกด้วย--จบ--
-สส-