กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
"รู้หรือเปล่าว่าเขาหักภาษีเงินได้เราด้วย? อะไรกันวะ?!"
"ในแง่มุมที่ว่าจิตแพทย์อย่างเบน โซเบล นั้นเป็นเหมือนปลาผิดน้ำในโลกแห่งอาชญากรในหนังเรื่องแรก ผมคิดว่ามันคงน่าสนใจหากหนังเรื่องใหม่ พอล วิตตี จะกลายเป็นฉลามผิดน้ำในโลกคนปกติบ้าง และต้องหางานทำ" เรมิส อธิบาย "สถานการณ์นั้นเป็นไปได้อย่างมาก นี่คือตัวละครที่จะใช้ความเป็นอาชญากรของเขาในทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่ชีวิตต้องพานพบ"
เรมิสร่วมกับเพื่อนร่วมงานเขียนบทภาพยนตร์ ปีเตอร์ สไตน์เฟลด์ และปีเตอร์ โทแลน เริ่มการพัฒนาเรื่องราวโดยเริ่มจากแกนหลัก "ลองคิดดูว่าคุณทำงานเป็นมาเฟียอาชีพ" คริสทัลกล่าว "คุณจะทำยังไงเมื่อทำต่อไปไม่ได้อีกแล้ว?"
"ตั้งแต่เริ่มเรื่องเราชอบไอเดียที่จะพาวิตตีไปยังบ้านแบบชนชั้นกลางของเบน ในนิวเจอร์ซี" โรเซนธัลกล่าว "เรามีคนที่เคยชินกับการออกคำสั่งและไม่เคยระงับใจตนเอง และแหกคอกกับกิจวัตรประจำวันของบ้านเบนทุกอย่าง จนทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด"
ลิซ่า ครูโดว์ ผู้รับบทลอร่า ภรรยาผู้ถูกทำให้ฉุนโกรธของเบน กล่าวว่า "ความประพฤติของวิตตีในบ้านของพวกเขานั้นไม่ถูกต้องไปทุกเรื่อง เขาเป็นแขกที่แย่มากๆ"
เพียงไม่กี่ชั่วโมงของการเข้าพัก เขาถูกเล็คเชอร์จากทั้งเบนและลอร่า ราวกับเป็นเด็กวัยรุ่นเกเร ห้ามพาเพื่อนเข้าห้อง ห้ามสูบซิการ์ และห้ามเดินกึ่งเปลือยกายในบ้าน อ้อ แล้วยังมีเคอร์ฟิวด้วยนะ นั่นยังไม่พอที่จะทำให้วิตตีอัดใจตาย เขายังต้องเผชิญกับการที่จะต้องหางานทำให้เหมือนคนทั่วไป ….เขา คนที่ไม่เคยทำอะไรมากไปกว่าทำแซนด์วิชเพื่อกินเอง เพราะมีคนแวดล้อมที่ยิ่งกว่าเต็มใจทำให้เพียงแค่กระดิกนิ้ว แล้วเขาจะทำอะไรเล่าคราวนี้ พาแขกไปนั่งโต๊ะอาหารหรือ?
ใช่แล้ว
วีนสไตน์เล่าคร่าวๆ ว่า "คราวนี้พอล วิตตีผู้ยิ่งใหญ่จะต้องใช้ชีวิตเหมือนอย่างเราๆ ไปทำงานให้ใครสักคน เป็นพนักงานมิใช่นาย จ่ายภาษี และอื่นๆ อีก เพื่อทำให้ชัดเจนขึ้น เราใส่เขาลงไปในสถานการณ์ที่คนทั่วไปจะพบเจอในการเริ่มงานขั้นต้น ที่เขาต้องอ่อนน้อมกับลูกค้า และดูแลข้าวของราคาแพง ซึ่งอีกไม่ช้าเขาอาจอยากขโมยมากกว่าจะขายมัน ถูกเหยียบย่ำและสิ่งยั่วยุ -- ประสพการณ์ที่เขาได้พบในการทำงาน"
โซเบลเสาะหางานให้กับคนไข้ผู้ไม่ธรรมดาของเขาทีละแห่งสองแห่ง โดยการโทร.หาเพื่อน และญาติที่กังขาของเขา และแล้วทีละคนสองคนก็ถูกวิตตีซัดเสียคว่ำไปตามๆ กัน
การทำงานเป็นคนต้อนรับแขกในภัตตาคาร ร่อนตะกร้าขนมปัง และแอ็คท่าถ่ายรูปร่วมกับนักท่องเที่ยว ที่อยากได้รูปคู่กับเจ้าพ่อตัวจริง เป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีนัก วิตตีหมดความอดทนตั้งแต่ของหวานยังไม่ถูกเสริฟ
ในอาชีพเซลส์ขายรถ วิตตีพบว่าเขาไม่เหมาะที่จะต่อรองราคาพรมปูพื้น หรือให้คำแนะนำคนซื้อเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของแอร์แบ็คคู่หน้า สำหรับวิตตี องค์ประกอบความปลอดภัยของรถก็คือกระจกกันกระสุน -- เชื่อซิ คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเล่า?
แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาต้องทำงานหน้าเคาน์เตอร์เครื่องเพชร ในร้านของญาติของโซเบล ที่ซึ่งวิตตีพร้อมจะยกธงขาวนับแต่เขามีความคิดอยากทำผิดกฎหมาย ความเชี่ยวชาญด้านเพชรพลอยของเขานั้นชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน ปัญหาก็คือ เขาช่วยไม่ได้ที่จะคอยมองหาจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยของร้าน ตัวอย่างเช่น ยามดูท่าทางอ่อนซ้อม น่าจะจัดการได้โดยง่าย กล้องวิดีโอที่คอยจับตานั้นก็แค่ทำให้ใช้การไม่ได้ด้วยสเปรย์สีดำ และตู้เซฟที่แสนบอบบางนั้นก็หวานหมูถ้าจะเปิด…. เพียงแค่ครึ่งวัน วิตตีก็ทนความกดดันไม่ไหว เขาขอลาออก
ยังดีที่โซเบลมีโชคพอที่จะหางานที่เขามีคุณสมบัติครบถ้วนอย่างที่สุดให้ทำได้ ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิคให้กับรายการโชว์ยอดฮิตทางเคเบิลทีวี เรื่อง Little Caesar ที่นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวมาเฟีย
ด้วยคำพูดและบทสนทนาของกลุ่มอันธพาลที่ใช้กันบ่อยจนชินหูของฮอลลีวู้ด เรื่อง Little Caesar จึงเป็นเสมือนเส้นทางเดินของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของวิตตีได้อย่างน่าขัน
การทำงานโชว์นับเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับวิตตี เขาได้ออกจากบ้าน มีงานทำอย่างถูกต้องตามทันฑ์บนของเขา และที่สำคัญที่สุด ทำให้เขามีฐานปฏิบัติการใหม่ ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เอ้อ คนอื่นๆ เพื่อนร่วมงานในอดีตของเขา ทีละคนสองคนทยอยมาเยี่ยมเยียนที่กองถ่าย เพื่อหารือเรื่องธุรกิจ และแสร้งทำเป็น "เพิ่มสีสัน" ให้กับงานผลิต และอีกไม่นานต่อมา ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นยอดฝีมือตัวจริง เข้าแถวรับอาหารกลางวัน คู่ไปกับตัวประกอบขวัญผวาที่อยู่ในชุดสูทมันวับ ในขณะที่วิตตีนั่งนับนิ้วอยู่หน้าเทรลเลอร์ VIP ของเขา
เห็นได้ชัดว่าบางอย่างกำลังเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แม้แต่เอฟบีไอที่คอยเฝ้าตามติดก้นของวิตตี นับแต่นาทีที่เขาออกมาจากเรือนจำซิงซิง ทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าตามทัน เรื่องราวก็จะถูกหักมุมฉับพลัน ไม่ไปทางซ้ายก็ขวาทุกทีไป
เมื่อถึงเวลาที่ชีวิตจริงกับนิยายมาประชันกันบนถนนของนิวยอร์ค ซึ่งมีตำรวจปลอมไล่ยิงกับอาชญากรปลอม เคียงคู่ไปกับตำรวจจริงกับอาชญากรตัวจริง คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็คือพอล วิตตี และเขาไม่มีวันบอกใคร
ทั้งแก็งค์มาอยู่ที่นี่
เมื่อบทภาพยนต์พร้อม เรมิสและผู้อำนวยการสร้างก็เริ่มรวบรวมตัวแสดงหลัก เริ่มด้วย โรเบิร์ต เดอ นีโร และบิลลี่ คริสทัล ซึ่งยินดีที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง และเสาะหาอารมณ์ขันที่เพิ่มขึ้น ในตัวละครทั้งคู่
"ผมชอบทำงานกับบ็อบ" คริสทัลกล่าว "เราไม่เคยเหนื่อยกับสิ่งที่เราทำ เราชอบที่จะค้นหาความแตกต่างระหว่างตัวเรา และตัวละครและใช้ให้เป็นประโยชน์ ผมชอบดูเขาสนุกกับมัน"
เดอ นีโรก็กระตือรือร้นเช่นกันในการได้ทำงานร่วมกับคริสทัลอีกครั้ง ความเป็นเกลอทั้งในจอและนอกจอ ที่ทั้งคู่ซึ่งเป็นชาวนิวยอร์คแท้มีร่วมกัน "บิลลี่กับผมสามัคคีกันดี เราส่งและรับมุขกันได้ดีราวกับนักดนตรี เรามีจังหวะของนิวยอร์คในตัวทั้งคู่ ซึ่งช่วยได้มาก อีกอย่างเขาเป็นคนตลก มาก มาก ไม่เพียงแต่เมื่ออยู่หน้ากล้องเท่านั้น และมันเป็นประโยชน์มาก เวลาที่เราต้องถ่ายทำตอนกลางคืน และเมื่อเราเหนื่อย"
หลังจากที่โซเบลถูกเรียกตัวมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้วิตตีเสียสติ วิตตีถูกบังคับให้เข้าทดสอบทางจิต โดยโซเบลเป็นผู้กระทำภายใต้ความควบคุมของหน่วยแพทย์และจิตเวชของเรือนจำซิงซิง การทดสอบนั้นกลายเป็นเหมือนกิจวัตรของหนังคอมเมดี้มีระดับสำหรับนักแสดงทั้งคู่ ซึ่งรักษาฟอร์มเอาไว้อย่างเต็มที่ในการที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหลุดจากบทของเขา
"เขาทำให้ผมขำจนต้องกลั้นหัวเราะ" เดอ นีโร ย้อนความ "ผมพยายามขึงหน้าเอาไว้ แต่มีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาเห่าใส่ผมและทำทุกอย่างเพื่อให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ แล้ว ทีนี้…สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือ มีตอนดีๆ ที่ถูกตัดออกไปด้วยในฉากนั้น"
เรมิสมีความสุขเป็นที่สุด ที่ได้เห็นพลังระหว่างดาราทั้งคู่ "บิลลี่จะจำไดอาล็อกแม่น และชอบให้ทุกอย่างพร้อม แม้ว่าเขาจะมีความสร้างสรรค์และสามารถทำอะไรก็ได้เท่าที่คุณอยากให้ทำ" เรมิสอธิบาย "เขาเข้าใจถึงคุณค่าของมุขที่ดี และจะทำทุกอย่างเพื่อให้มุขนั้นได้รับการแสดงออก" บ็อบทำงานอย่างผูกมัดกับความเป็นจริงมากกว่า และให้ความรู้สึกที่เชื่อถือได้กับเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถให้อารมณ์ขันได้ในแบบการขยายความ
"ผู้คนมักสงสัยว่าเราทำอย่างไรในการประสานสองสไตล์เข้าด้วยกัน" เรมิสกล่าวต่อ "กลเม็ดก็คือไม่ประสานอะไรเลย ความกดดันจะมาจากความแตกต่างของทั้งสอง ไม่ใช่จากการที่ทั้งคู่ทำสิ่งเดียวกัน คุณจะไม่มีวันเห็นโรเบิร์ต เดอ นีโร กลายเป็นนักเดี่ยวไมโครโฟน สิ่งขำขันที่เขาแสดงในหนังนั้นเกิดจากสิ่งที่ได้รับการเกลามาเป็นอย่างดี เพื่อมิให้รู้สึกว่าเกิดจากการเขียนขึ้นมาหรือถูกบังคับ"
เดอ นีโรยังร่วมรับผิดชอบในการทำให้พอล วิตตี ซื่อสัตย์ อย่างน้อยก็เกี่ยวเนื่องกับบทพูด และเรมิสยกย่องเขาในจุดนี้ "มีบางครั้งที่ผมต้องแสดงบางอย่างในความเป็นพอล และผมว่า 'เขาจะไม่ทำแบบนี้ ไม่อย่างแน่นอน'" ผู้เป็นนักแสดงอธิบาย "มันจำเป็น แม้ในหนังคอมเมดี้ ที่คนจะต้องเชื่อในคำพูดของตัวละคร แต่เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และมันมีความเป็นจริงที่เกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย"
เรมิสยอมรับในความสามารถทางคอมเมดี้ของคริสทัล และยังรับรู้ถึงความมีน้ำใจอย่างมากในความเป็นนักแสดง ที่ต้องการปรับเปลี่ยนให้เป็นคนธรรมดาในหลายฉาก ซึ่งความเชื่อโดยธรรมชาติของเขา ได้รับการนำเสนอออกมาอย่างท่วมท้น
"มันไม่ธรรมดา" ผู้กำกับการแสดงกล่าว "สำหรับนักแสดงตลกระดับโลก การสะกัดกั้นอารมณ์ขันในบางสถานการณ์นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างแท้จริง และบิลลี่ก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ
ในหลายๆ ครั้งที่เขาประพฤติเหมือนกับที่จิตแพทย์พึงกระทำ การทำตัวเป็นเหยื่อล่อกับทุกอย่างรอบตัว และเช่นเดียวกับจิตแพทย์ที่ดีทุกคน เขาจะอยู่ตรงนั้นสำหรับทุกคน คอยจับมือพวกเขาไว้ แม้ว่าจะต้องทำบนความเสียสละส่วนตัว อย่างที่ตัวละคร เบน โซเบล ให้ความสำคัญตัวเองในอันดับรองลงมาจากของภรรยา ลูก และวิตตี
"ในอีกมุมหนึ่ง" เรมิสกล่าว "เรามักจะมองหาโอกาสที่จะให้บิลลี่ได้ค้นหาคอมเมดี้ที่ยิ่งใหญ่ และแสดงได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เราสบโอกาสกับฉากในภัตตาคารซูชิ ตอนนั้นเบนได้รับแรงกระตุ้นจากส่วนผสมของยาระงับประสาทกับแอลกอฮอล์ หรืออาจเป็นเพราะความเครียดอัดแน่น พอถึงเวลาเสริฟอาหารนั้นเขาก็ไปไกลเกินจะกินเสียแล้ว บิลลี่สนุกกับฉากนั้นมาก เขาทั้งพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ลิ้นคับปาก อาหารหกเรี่ยราดออกจากปาก -- เขาทำให้ทุกคนประสาทผวา รวมทั้งเพื่อนนักแสดงด้วย"
เมื่อคริสทัลถ่ายทอดความเป็นเบน โซเบล "เขาหายใจแทบไม่ออกเพราะสำลักความกดดัน เมื่อเราเห็นเขาครั้งแรกและเราอยากคงความเป็นอย่างนั้นไว้ -- ค่อนข้างจะเสียศูนย์ และคอยแต่สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในฐานะจิตแพทย์เขาช่วยคนอื่นแก้ปัญหาและรักษาการควบคุมตนเอง แต่ตัวเขาเองกลับทำไม่ได้ เขาข้ามเส้นจรรยาแพทย์ในการรักษาวิตตี เขาไม่สามารถทิ้งสัมพันธภาพไว้ในที่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของวิตตี
"หนังเรื่องนี้ให้โอกาสผมได้ทำอะไรที่แตกต่างออกไป ผมได้ทำตัวงี่เง่ากว่าที่เคยทำมาในหนังเรื่องแรก ในมุมที่กว้างกว่า และผมชอบมาก"
เรมิสอธิบายถึงการแสดงระหว่างบุคลิกของวิตตีและโซเบลว่า เป็น "การประลองภูมิปัญญาและอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ในจุดหนึ่งผมว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของผม ส่วนที่ถูกสะกัดกั้นไว้ของผมนั้นอยากเป็นได้อย่างพอล วิตตี มันน่าตื่นเต้นที่จะเป็นอิสระได้อย่างนั้น แต่ความประพฤติแบบนั้นมีราคาสูงอยู่เหมือนกัน"
ลิซ่า ครูโดรว์ เจ้าของรางวัลเอ็มมี่จากเรื่อง Friends และ Hanging Up, กลับมารับบทลอร่า โซเบล ภรรยาของเบนซึ่งอยู่กินกันมาสองปี หญิงสาวที่มีความวิตกกังวลของตนเอง และเพิ่งจะเริ่มปรากฎอาการให้เห็น อย่างที่เรมิสตั้งข้อสังเกตุว่า "เบนแต่งงานกับผู้หญิงที่ต้องการให้ดูแลเอาใจใส่มากกว่าที่เขาเคยคิด"
"เบนเพิ่งจะสูญเสียพ่อของเขาไป และเขาตกอยู่ในช่วงแห่งความยุ่งยาก และนั่นสร้างปัญหาให้กับชีวิตสมรส" ครูโดรว์ยอมรับ "แต่ลอร่านั้นเป็นตัวละครที่ชอบบงการ ซึ่งเพิ่มความกดดันให้มากขึ้น เธอไม่ชอบให้อะไรผิดที่ผิดทาง แล้วการมีอาชญากรมาอยู่ร่วมบ้าน ! -- ใช่เลย เป็นเรื่องผิดระเบียบมาก
"แต่ชีวิตแต่งงานนั้นค่อนข้างมีความสุข" คูโดรว์กล่าวต่อ "สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความไม่สงบชั่วคราวเท่าที่เธอรู้สึก และเธอก็จะพยายามให้เป็นชั่วคราวอย่างสั้นที่สุด ลอร่าไม่กลัววิตตี แต่เธอไม่ชอบหน้าเขา และไม่อยากให้ครอบครัววุ่นวายเพราะเขา เธอมองเขาเป็นตัวทำลายครอบครัวของเธอ -- ซึ่งแน่นอนละ เขาเป็น!"
เรมิสบอกว่า "ลิซ่าเข้มแข็งมากในหนัง เธอเป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง เธอรู้อย่างลึกซึ้งว่าลอร่าเป็นใคร และเธอสามารถแสดงได้อย่างประหลาดโดยไม่น่าเกลียด เห็นได้ชัดในการถ่ายทอดบทบาทโดยลิซ่า และลอร่า โซเบล เป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด แม้ว่าจะประสาทอย่างอ่อนๆ เนื่องมากจากความเครียด"
ส่วนนักแสดงอมตะอย่างโจ วิทเทอเรลลี่ ซึ่งเคยมีผลงานสร้างชื่อเสียงมาแล้วจากหนังคอมเมดี้เรื่อง Shallow Hal เขายินดีที่จะได้กลับมารับบทเจลลี่ บอดี้การ์ดผู้ซื่อสัตย์แต่ดุร้าย ที่เคียงกายวิตตีตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่วิตตีจะไม่ทำเพื่อนายของเขา
(ยังมีต่อ)