กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
ผู้ชมได้พบว่าตัวละครเจลลี่ ในเรื่อง Analyze This นั้นหาค่ามิได้; จึงไม่ต้องสงสัยเลยถึงการมาร่วมงานในภาคต่อของเขา อย่างที่เดอ นีโรกล่าวว่า "เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องนำโจกลับมา ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมถ้าขาดเขาไป"
เมื่อเปิดฉากเรื่อง Analyze That เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะปิดกั้นเจลลี่ผู้ซื่อสัตย์จากการทำหน้าที่ของเขาก็คือช่วงที่ถูกคุมขังเท่านั้น แต่คดีของเขาได้รับการยกฟ้อง เนื่องจากพยานปากสำคัญไม่สามารถมาให้การได้ - อย่างที่เจลลี่เรียกว่า "โดยบังเอิญ" และตลอดไป
วิทเทอเรลลี่กล่าวถึงการรับบทเดิมๆ ในแบบของคนดุ เท่าที่เขาทำงานมาทั้งในแบบคอมเมดี้และดราม่า "ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร กับคำว่า 'คนดุ' แต่ในเรื่องที่ผมเสดงหากมีการฆาตกรรมที่น้อยกว่าสิบราย ผมเรียกมันว่าเป็นหนังโรแมนติค คอมเมดี้"
ผู้มาร่วมงานกับบรรดาแกงค์หน้าเก่า ในเรื่อง Analyze That นั้นได้แก่ตัวละครใหม่อย่าง แพ็ตตี้ โลเพรสติ รับบทโดย เคธี่ มอริอาที-เจนทิล แม่ม่ายมาเฟียผู้ทะเยอทะยาน เธอรั้งแทนตำแหน่งของวิตตีในฐานะหัวหน้าครอบครัว นับแต่การย้ายไปอยู่ในคุกซิงซิงของเขา และหลังจากอุบัติเหตุที่ได้คร่าชีวิตสามีของเธอ
เรมิสตั้งใจให้ มอริอาที-เจนทิล เป็นผู้รับบทนี้แต่แรก และรู้ด้วยสัญชาติญานของเขานับแต่ได้ยินการอ่านที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอ ซึ่งไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยเพราะเป็นตัวละครที่ดาราผู้นี้สนุกกับการได้รับบทเป็นอย่างยิ่ง
"แพ็ตตี้เยี่ยมยอดมาก" มอริอาที-เจนทิลกล่าว "เธอยิ่งใหญ่ สิ่งเดียวที่น่าสงสารคือการเป็นม่ายและต้องรับภาระธุรกิจในความเป็นหัวหน้าครอบครัว สามีเธอตาย เขาถูกลากขึ้นมาจากแม่น้ำ เราไม่แน่ใจว่าเธอมีส่วนร่วมในการตายของเขาหรือไม่ แต่ช่างมันเถอะ เธอเป็นหวานใจและเป็นนายของบ้าน ซึ่งเป็นงานยิ่งใหญ่ที่ได้รับบทนี้"
"มันไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรกของผมที่จะให้หัวหน้าครอบครัวอาชญากรวิตตีเป็นผู้หญิง" เรมิสยอมรับ "แต่ระหว่างการเตรียมงานของเรา ใครสักคนพูดว่า 'แล้วทำไมถึงเป็นผู้หญิงไม่ได้ล่ะ?' เราจำได้ว่าเคยอ่านพบว่าในซิซิลีครอบครัวอาชญากรกำลังถูกถ่ายอำนาจ และเจ้าพ่อมากมายในอเมริกาถูกจับเข้าคุก มีเหตุผลดี โดยเฉพาะหากว่าเธอคนนั้นมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือเช่นเดียวกับ แพ็ตตี้ โลเพรสติ"
มอริอาที-เจนทิล ซึ่งอายุเพียง 18 เมื่อเธอร่วมแสดงกับโรเบิร์ต เดอ นีโรเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์คลาสสิคของมาร์ติน สกอร์เซสซี ในปี 1980 เรื่อง Raging Bull รู้สึกว่าการได้ร่วมเข้าฉากกับเขาอีกครั้งนั้น "เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ในเรื่อง Raging Bull นับเป็นประสพการณ์การเรียนรู้สำหรับฉัน บ็อบเป็นคนที่มีวินัยและทำงานด้วยความตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นงานคอมเมดี้หรือดรามา เขากับแฮโรลด์เป็นทีมที่ดี และทำให้ Analyze That เป็นเรื่องสนุกสำหรับทุกคน" นักแสดงสาวยังเคยร่วมงานกับบิลลี่ คริสทัลในหนังโรแมนติคคอมเมดี้เรื่อง Forget Paris ซึ่งคริสทัลไม่เพียงแต่แสดง เขายังได้กำกับอีกด้วย ซึ่งเธอกล่าวอย่างอบอุ่นว่า "บิลลี่หวดฉันกระจุย ตลอด เวลา"
ระหว่างที่การเขียนสคริปท์กำลังดำเนินไป ดาราและทีมผู้สร้างแต่ละคนก็ได้รับการปรึกษาหารือ ดังนั้นทั้งทีมงานของเรื่อง Analyze That จึงมีส่วนร่วมในการกลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง
คริสทัลผู้ทำหน้าที่ทั้งกำกับการแสดง, เขียนบท และอำนวยการสร้าง รู้ดีถึงความต้องการของการสร้างหนัง และได้บรรยายถึงการระดมมันสมองซึ่งเรมิสได้เป็นผู้นำใน Analyze That "เราประชุมร่วมกับผู้เขียนบทแล้วพวกเขาก็ออกความคิดให้กัน บางตอนเราก็เขียนเอง คอมเมดี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แฮโรลด์รับฟังความเห็นคนอื่น และทำให้เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน และด้วยวิธีการแบบโซโลมอน เขาจะทำให้ทุกคนพอใจด้วยการพูดว่า 'เยี่ยม ผมจะใช้ ส่วนนี้ ในตอนนี้ และ ส่วนนั้น ในตอนอื่น' หรือไม่เขาก็จะแค่พูดง่ายๆ ว่า 'มันไม่เวิร์คหรอก'"
ในความเห็นเกี่ยวกับการทำงานแบบเสือปืนไวของเรมิส คูโดรว์บรรยายด้วยการดีดนิ้วหนึ่งครั้งและกล่าวว่า "ฉันหวังว่าคงมีเสียงหัวเราะในโรงมากมาย แล้วคนดูก็จะถามว่า 'เดี๋ยวก่อน บทว่ายังไงนะ เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไร?'"
เฮ้ ถ้ามันดีพอสำหรับวินเซนท์ เดอะ ชินละก็….
ดร. สตีเฟน เอ แซนด์ส จิตแพทย์ และสมาชิกเต็มเวลาแห่ง Columbia University College of Physicians and Surgeons ทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำทางเทคนิคและที่ปรึกษาจิตเวชให้กับภาพยนตร์ "ดร. สตีฟ" อย่างที่คริสทัลเรียกขาน "จะคอยอยู่เพื่อถามคำถามที่ถูกต้องในแต่ละสถานการณ์ เพราะเราออกนอกบทบ่อยครั้งมาก"
ระหว่างการเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ Memorial Sloan Kettering Cancer Center ดร. แซนด์ส ได้วิเคราะห์กรณีเกี่ยวกับการขึ้นศาลหลายกรณี รวมทั้งของวินเซนท์ "เดอะ ชิน" ไจแกนต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวมาเฟียที่โด่งดังแห่ง Genovese ไจแกนต์มักจะถูกพบเห็นเดินร่อนเร่อยู่ในชุดนอนแถวหมู่บ้านกรีนิช พูดอยู่คนเดียว ปัญหาของเขาต้องใช้ความรู้ความเข้าใจแต่คนส่วนมากสรุปว่าเป็นการเสแสร้ง ทำให้เขาได้รับการยืดเวลาตัดสินคดีฆาตกรรมในระหว่างทศวรรษที่ 1990 ไปอีก 7 ปี ในขณะที่ศาลพิจารณาว่าให้ผู้เชี่ยวชาญร่วมแถลงเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตของเขา
ดร. แซนด์ส มาที่กองถ่ายของ Analyze That ทุกวันเพื่อร่วมทำงานในฉากที่เกี่ยวข้องกับประเด็นจิตวิทยา รวมทั้งการบำบัดวิตตีที่ห้องทำงานของเบน โซเบล และบ้านของเขาที่มอนต์แคลร์ ฉากแรกที่ริคเคอร์ไอส์แลนด์ (หรือเรือนจำซิงซิง) ซึ่งอาการของวิตตีกำเริบ และในฉากสำคัญที่สุดของเรื่อง ที่ทั้งวิตตีและโซเบลต่างก็ค้นพบความกังวลที่ซ่อนเร้นอยู่ในตนเอง
"ผมทำงานกับบิลลี่ คริสทัล และช่วยเหลือเขาในการถ่ายทอดพฤติกรรมของจิตแแพทย์ ระหว่างการบำบัดรักษา" นายแพทย์กล่าว "ผมช่วยเขาในสิ่งที่แตกต่างกันไป อย่างเช่นเนื้อหาและเวลาของการแปลความหมายเฉพาะอย่าง และกิริยาท่าทางที่ต้องใช้ในเวลาคุยกับคนไข้ และผมไปที่ริคเคอร์ไอส์แลนด์ เพื่อแนะนำปฏิกิริยาโต้ตอบให้กับโรเบิร์ต เดอ นีโร เมื่อเขาต้องเผชิญกับสภาวะจิตล้มเหลว และการผ่านช่วงแห่งความตระหนก และการเข้าทดสอบทางจิต รวมทั้งเป้าหมายการทดสอบ"
ระหว่างการเตรียมการถ่ายทำ ดร. แซนด์ส ได้นำเดอ นีโรไปยังหน่วยจิตเวชแห่งโรงพยาบาล Bellevue เพื่อพบกับคนไข้และจิตแพทย์ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวข้องกับตัวละครของเขา ดาราใหญ่ยังได้เข้าร่วมการบำบัดกับกลุ่มคนไข้และจิตแพทย์จริงหลายครั้งอีกด้วย
ต่อมาเมื่อมาถ่ายทำในโลเคชั่นที่ริคเคอร์ ดร. แซนด์สต้องตระหนกกับความแม่นยำในการแสดงของเดอ นีโร เขาถึงกับกล่าวว่า "เขาทำให้จิตแพทย์หลงกลได้เลย และจะต้องเชื่อว่าเขามีอาการผิดปกติทางจิตอย่างแรง"
เดอ นีโร ร้องเพลง!
ฉากเริ่มต้นคือในเรือนจำซิงซิง ซึ่งนับเป็นตอนสำคัญของการปูเรื่อง และนับเป็นความท้าทายอย่างใหม่ของเดอ นีโร -- กับการร้องและเต้น
ไมเคิล แดนซิกเกอร์ ผู้ฝึกสอนการใช้เสียง ซึ่งล่าสุดเคยร่วมงานกับเดอ นีโร ในเรื่อง Meet the Parents ช่วยในการเตรียมตัวเข้าฉากที่เขาต้องแสดงบทจากบางตอนของเรื่อง West Side Story แดนซิกเกอร์นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง West Side Story และเคยทำงานร่วมกับ เจอโรม ร็อบบิ้นส์ ผู้กำกับดนตรีออริจินัลและประสานเสียง เมื่อเขาได้ปรับปรุงงานแสดงการเต้นให้กับ Jerome Robbins' Broadway
"บ็อบ เดอ นีโร มีเสียงระดับแบริโทน และมีจังหวะการร้องที่ดี" แดนซิกเกอร์กล่าว "นักแสดงในสถานการ์แบบนี้ จะต้องแสดงถึงสองอย่างในเวลาเดียวกัน : เขาต้องรักษาเสียงและจังหวะ และยังต้องแสดงให้เข้ากับเสียงของตัวละครที่มีอยู่เดิม เดอ นีโรได้เรียนรู้จากข้อมูลได้อย่างรวดเร็วมาก เราเป็นห่วงแค่เรื่องเดียวว่าเขาเสียงเขาดีเกินไป เพราะเราอยากให้เสียงเขาเป็นเพียงพอล วิตตี"
ไอเดียที่จะให้โชว์เพลงในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำของนักโทษนั้นทำให้เดอ นีโรขำได้โดยทันที "ผมชอบไอเดียนี้มาก" เขากล่าว "และคนอื่นๆ ก็เช่นกัน เราทุกคนต่างก็ร้องเพลงจากเรื่อง West Side Story เล่นไปตามไอเดีย ผมพยายามเลือกหลายตอนที่ต่างๆ กันแต่กลายเป็นเหมือนจะมากเกินไป เราต้องขมวดให้เหมาะกับที่ฉากนั้นควรจะเป็น"
คริสทัลกล่าวว่า "ผมคิดว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เหมือน Anna Christie ที่เป็นข่าวใหญ่เรื่อง 'การ์โบ ทอล์ค' หรือใน Ninotchka ที่เรียกว่า 'หัวเราะแบบการ์โบ' นี่เป็น 'เดอ นีโรร้องเพลง!'"
ไม่มีที่ไหนเหมือนนิวยอร์ค
เมื่อท้าวความไปถึงการตัดสินใจใช้นิวยอร์คเป็นโลเคชั่นสำหรับถ่ายทำเรื่อง Analyze That พอล่า วีนสไตน์ กล่าวว่า "มีบางช่วงอยู่เหมือนกันที่ทางสตูดิโอคิดถึงการถ่ายทำที่อื่น เช่นเดียวกับสตูดิโอทั่วไป เนื่องจากเหตุผลทางการเงิน แต่เราตัดเรื่องนั้นออกไป เราต้องการที่นี่ เป็นการถ่ายทำฉากเมืองใหญ่ ที่ไม่มีที่อื่นใดในโลกเหมือน""มันคงเป็นการแสดงความไม่รักถิ่นฐาน หากเราไม่ถ่ายทำในนิวยอร์ค" เจน โรเซนธลเสริม "ในความเป็นคนนิวยอร์ค มันสำคัญมากสำหรับฉันที่จะกลับไปทำธุรกิจตามปกติ หลังจากที่ทำงานแบบ 9/11" เดอ นีโรย้ำความคิดเห็นของหุ้นส่วน เขาเห็นด้วยกับว่า การถ่ายทำแม้จะเป็นฉากภายในของที่ไหนก็ตาม ว่าทำให้รู้สึก "ไม่รักบ้านเกิด" และเสริมว่า "นี่เป็นเรื่องราวของนิวยอร์ค หนังนิวยอร์ค เราตั้งใจเสมอมาที่จะรักษาเอาไว้ และผมดีใจที่เราสามารถทำได้" การถ่ายทำเรื่อง Analyze That เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน ปี 2002 ที่ตัวแทนจำหน่ายรถ Audi ที่ ปาร์ค เอเวนิว ใน แมนฮัตตัน กับฉากที่วิตตีพยายามอย่างหนักในการขายรถให้กับคู่หนุ่มสาว และอีกฉากหนึ่งเมื่อวิตตี พยายามทำงานถูกกฎหมายในร้านขายเครื่องเพชร ซึ่งถ่ายทำที่ Diamond District บนถนน West 47th และในภัตตาคาร Gallagher's Steak House บนถนน West 52nd ซึ่ง โจ ทอร์ ผู้จัดการของ New York Yankees และลูกชายของเขา ไมเคิล รับบทตนเองในฉากที่ Gallagher
ฉากสั้นที่วิตตีได้รับการปล่อยตัวจากการเป็นนักโทษ ซึ่งถ่ายทำหน้าทางเข้าของเรือนจำซิงซิง ที่ออสซินนิ่ง ในนิวยอร์ค แม้ว่าหลายฉากที่วิตตีถูกคุมขังจะทำการถ่ายทำที่เรือนจำริคเคอร์ ไอส์แลนด์ ที่ควีนส์ ในนิวยอร์ค ฉากงานศพพ่อของเบน และหลายฉากตอนต้นเรื่อง ถ่ายทำที่ Riverside Memorial Chapel ใน Manhattan's Upper West Side
หลังจากนั้นกองถ่ายได้ย้ายไปยังมอนต์แคลร์ นิวเจอร์ซี่ย์ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบไม้ เพื่อถ่ายทำฉากภายในบ้านของโซเบล รวมทั้งฉากความฝันซึ่งจินตนาการถึงห้องทำงานของเบน ที่ซึ่งจิตแพทย์แสนดีแปรสภาพเป็นซิกมันด์ ฟรอยด์กำลังนั่งสูดโคเคนต่อจากนั้น กองถ่ายได้กลับมายังแมนฮัตตัน ในฉากที่โซเบลพาวิตตีไปทานอาหารเย็นที่ Nogo ซึ่งเป็นภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นสมัยใหม่ ที่เขาได้พบกับว่าที่นายจ้างคนใหม่ - ผู้กำกับรายการ Little Caesar TV โชว์ อาหารมื้อนั้นไปถ่ายทำกันในร้านบนถนน West 13th ซึ่งปิดกิจการไปแล้ว และถูกทำให้มีชีวิตขึ้นใหม่โดยฝีมือของฝ่ายศิลป์ฉากของแพ็ตตี้ โลเพรสติ ในบ้านของเธอที่ Staten Island ถ่ายทำที่ชานเมืองเจอร์ซี่ย์ - Ho Ho Kus, การตกแต่งของฉาก Little Caesar ที่ Washington Square Park ในแมนฮัตตัน และฉากระหว่างแพ็ตตี้ โลเพรสติ กับลูเดอะเรนช์ ในฉาก Little Caesar นั้นถ่ายทำที่ เคิร์นนี่ นิวเจอร์ซีย์ ในโรงงานร้าง ฉากรถไล่ล่าถ่ายทำในโลเคชั่นบนถนนรอบนิวเจอร์ซี่ย์ เทิร์นไพค์ ในเคิร์นนี่
ส่วนฉากปล้น ซึ่งวิตตีเป็นผู้สั่งการให้ขโมยทองแท่งของคลังสหรัฐฯ มูลค่า $18 ล้านเหรียญ (ด้วยจุดมุ่งหมายลับของตนเอง) ถ่ายทำที่ถนนปลอดรถบนสาย West 57th ระหว่างบล็อคที่ 11th และ 12th รวมทั้งใต้ไฮเวย์สาย West Side Highway ทั้งสองแห่งเป็นการถ่ายทอดกิจกรรมของกลุ่มมาเฟียในถิ่นที่ทรุดโทรมยามราตรี
เอลเลน คูราส ผู้กำกับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล ซึ่งมีผลงานสร้างชื่อจากเรื่อง Blow และ Personal Velocity บรรยายถึงความตั้งใจของทีมผู้สร้างในการให้ความแตกต่าง ระหว่างสิ่งแวดล้อมของวิตตี และโลกของเบน โซเบลหัวโบราณ "หนังของเราเป็นโลกที่แตกต่างกันสองแบบ ไม่เพียงแต่เป็นโลกที่วิตตีโปรดปราน แต่ยังมีฉากที่อยู่ในถิ่นชานเมืองและชนชั้นกลางของแมนฮัตตัน เราต้องการสร้างภาพที่แตกต่าง จึงทำให้โลกของวิตตีเป็นสีโทนเย็น เขียวและฟ้า ในขณะที่โลกของเบนเป็นสีใส และอบอุ่นกว่า ในโทนเหลืองและส้ม ซึ่งเป็นสีกลาง"
คูราสเคยทำงานออกแบบฉากอย่างใกล้ชิดในเรื่อง Analyze This ให้กับผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ วีน โธมัส ซึ่งเคยทำงานออกแบบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Summer of Sam และ A Beautiful Mind "แฮโรลด์กับผมอยากให้หนังเป็นคอมเมดี้ที่มีสไตล์ โดยไม่เบนความสนใจไปจากเนื้อเรื่อง" คูราสอธิบาย "ยกตัวอย่างเช่น การใช้เลนส์ไวลด์แองเกิล ในฉากร้านเครื่องเพชร ซึ่งวิตตีได้งานเป็นเซลส์แมน ซึ่งทำให้ได้ภาพจากมุมมองของเขา และนั่นคือสิ่งที่เราอยากให้ออกมา"
หนึ่งในความท้าทายอย่างมากก็คือการคิดวิธีกำกับให้สายตาของนักแสดงมองมายัง เลนส์กล้อง เพื่อทำให้มุขตลกในสคริปท์ออกมาได้ผลอย่างเต็มร้อย "หนังคอมเมดี้มีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากดราม่า" คูราสกล่าว "ในคอมเมดี้กล้องจะถูกวางไว้ในมุมเฉพาะที่จะทำใหมุขตลกทำงาน ในฉากคลับที่ลูกน้องแพ็ตตี้ โลเพรสติ บีบบังคับเบน ที่บ้านโลเพรสติ หรือที่ฉาก Little Caesar การวางกล้องได้กลายเป็นส่วนสำคัญในด้านแอ็คชั่น ผมไว้วางใจแฮโรลด์เป็นอย่างมากในด้านการแนะแนว เขาจะพูดว่า 'มันจะออกมาดีกว่า ถ้าวางกล้องไว้ตรงนั้น'"
ในฉากที่วิตตีและลูกน้องวางแผนปล้นห้องด้านหลังของ Little Darlings Club ถ่ายทำในสองโลเคชั่น : ในซากตึกผุพังแถบบรรจุเนื้อสัตว์ของนิวยอร์ค ใกล้กับถนน West 14th (ซึ่งใช้เป็นโลเคชั่นของ Rigazzi Plumbing ด้วย) และในคลับมิดทาวน์ที่เรียกว่า Exit บนถนน West 56th
เมื่อกองถ่ายทำงานฉากสำคัญในการปล้นของฮาร์เล็มที่ New York State 369th Regiment, และที่ถนน 145th และฟิฟธ์ เอเวนิว และในถิ่นที่ร้างผู้คน ซึ่งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ได้มาเยี่ยมที่กองถ่าย คลินตันซึ่งมีออฟฟิซอยู่บนถนน 125th เขาคุ้นเคยกับนักแสดงของเรื่อง รวมทั้งเรมิส, โรเซนธัล และวีนสไตน์ เขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับนักแสดงและทีมงาน ร่วมถ่ายรูป และอวยพรให้กับทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกว่าเขารู้สึกยินดีมากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำที่นิวยอร์ค
(ยังมีต่อ)